“มิน อ่อง หล่าย” ตั้งรัฐบาลรักษาการ-ประกาศกฎอัยการศึก 63 เมืองปูทาง “เลือกตั้ง” ปลายปีนี้
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (1 ส.ค. 68) รัฐบาลทหารเมียนมา ประกาศปรับโครงสร้างการปกครองครั้งสำคัญเมื่อวันพฤหัสบดี 31 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยจัดตั้ง "รัฐบาลรักษาการ" ที่นำโดยพลเรือนและยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศที่บังคับใช้มาตั้งแต่การก่อรัฐประหารเมื่อปี 2564
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถูกมองว่าเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงในเชิงสัญลักษณ์ เนื่องจาก พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ยังคงกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในฐานะรักษาการประธานาธิบดี ควบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ขณะเดียวกัน สำนักข่าวซินหัว (China Xinhua News) รายงานว่า สภากลาโหมและความมั่นคงแห่งชาติ (NDSC) ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ 63 เมือง ก่อนจะประกาศใช้กฎอัยการศึกตามมาทันที ครอบคลุม 9 รัฐและเขตการปกครอง ให้เหตุผลว่าเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจากความรุนแรงและการก่อความไม่สงบ ซึ่งจำเป็นต่อการฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยและหลักนิติธรรม ก่อนการเลือกตั้งที่วางแผนไว้
ภายใต้กฎอัยการศึกซึ่งจะมีผลบังคับใช้ 90 วัน อำนาจฝ่ายบริหารและตุลาการในเมืองดังกล่าวจะถูกโอนไปอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้บัญชาการทหารสูงสุดโดยตรง พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่อยู่ในเขตชายแดนที่กองทัพกำลังเผชิญการต่อต้านอย่างหนักจากกลุ่มชาติพันธุ์และกองกำลังฝ่ายต่อต้าน อาทิ รัฐยะไข่ 14 เมือง รัฐฉาน 15 เมือง และภาคสะกาย 9 เมือง
ซอ มิน ตุน โฆษกรัฐบาลทหารกล่าวว่า ช่วงเวลา 6 เดือนข้างหน้าคือช่วงเตรียมการเพื่อจัดการเลือกตั้ง ซึ่งพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ระบุว่า จะจัดขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ ช่วงเดือนธ.ค.68 และม.ค.69 ที่จะถึงนี้ อย่างไรก็ตาม แผนการเลือกตั้งยังคงเผชิญกับความท้าทายใหญ่หลวง สะท้อนจากการจัดทำสำมะโนประชากรเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งรัฐบาลสามารถดำเนินการได้เพียง 145 เมือง จากทั้งหมด 330 เมืองทั่วประเทศ แสดงให้เห็นถึงการขาดการควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ
ขณะที่ นักวิเคราะห์และรัฐบาลชาติตะวันตก ต่างมองว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นเพียงเรื่องเปลือกนอก และการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงเป็นเพียง "ละครฉากหนึ่ง" เพื่อสร้างความชอบธรรมและตอกย้ำอำนาจของกองทัพ โดยกลุ่มการเมืองฝ่ายค้านส่วนใหญ่จะถูกตัดสิทธิ์หรือปฏิเสธที่จะเข้าร่วม
เดวิด เมธีสัน นักวิเคราะห์อิสระด้านเมียนมา กล่าวว่า เป็นเพียงการสลับตำแหน่งตัวละครเดิม ๆ แล้วตั้งชื่อระบอบการปกครองใหม่ นี่คือส่วนหนึ่งของการเตรียมเลือกตั้งที่เรายังแทบไม่รู้อะไรเลย
ส่วน กระทรวงการต่างประเทศของจีน แสดงท่าทีสนับสนุน แนวทางการพัฒนาที่สอดคล้องกับสภาพการณ์ของเมียนมา แต่สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมยังคงน่ากังวล โดยรายงานของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ระบุว่า นับตั้งแต่การรัฐประหาร มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 6,000 คน ถูกควบคุมตัวโดยพลการกว่า 20,000 คน และมีผู้พลัดถิ่นในประเทศกว่า 3.5 ล้านคน ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่กองทัพเมียนมาปฏิเสธมาโดยตลอด โดยอ้างว่าเป็นการให้ข้อมูลบิดเบือนจากชาติตะวันตก