โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

"นักวิชาการ มธ." หนุนรัฐใช้ "กฎกระทรวง" คุมเข้มเงินวัด ชี้ "พระชั้นผู้ใหญ่" เทียบจนท.รัฐ แต่ปปช.ตรวจสอบทรัพย์สินไม่ได้

สยามรัฐ

อัพเดต 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วันที่ 20 กรกฎาคม 2568 สืบเนื่องจากกรณีที่ นายสุชาติ ตันเจริญ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าจะมีการนำกฎกระทรวงที่ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้จัดทำไว้แล้วมาบังคับใช้ โดยกำหนดให้วัดนำเงินรายได้ฝากเข้าบัญชีธนาคารในนามของวัด ควบคู่กับการจำกัดไม่ให้วัดถือเงินสดในวงเงินเกิน 1 แสนบาท และต้องทำบัญชีรายรับ รายจ่าย เพื่อรายงานต่อ พศ. ซึ่งจะดำเนินการตั้งแต่ 1 ตุลาคม 68 เป็นต้นไปน ขณะเดียวกันจะมีการเร่งร่างกฎหมายฉบับใหม่ เพื่อเพิ่มบทลงโทษทางอาญากับพระสงฆ์ที่กระทำผิดวินัยร้ายแรง เช่น กรณีเสพเมถุน ให้รับโทษทั้งจำคุกและปรับ
ผศ. ดร.กริช ภูญียามา อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า เห็นด้วยกับการออกประกาศบังคับใช้กฎกระทรวง เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายของวัด ถือเป็นแนวทางที่แก้ปัญหาได้ตรงจุด เพราะจะเห็นได้ว่าพระสงฆ์ที่ปรากฏเป็นข่าวในขณะนี้ล้วนเป็นพระระดับชั้นผู้ใหญ่ทั้งสิ้น ซึ่งมีต้นตอมาจากความไม่โปร่งใสในระบบการจัดการทรัพย์สินของวัดที่พระชั้นผู้ใหญ่มีอำนาจและสามารถเข้าถึงการบริหารจัดการทรัพย์สินโดยไม่มีการตรวจสอบ
ผศ. ดร.กริช กล่าวว่า การออกกฎกระทรวงฯ เพื่อควบคุมเงินวัดนั้นสามารถทำได้ เนื่องจากวัดในพระพุทธศาสนามีสถานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชน ขณะที่พระสังฆาธิการ หรือ พระที่ดำรงตำแหน่งทางปกครองในคณะสงฆ์ ตั้งแต่ระดับเจ้าอาวาสไล่ขึ้นไปจนถึงสมเด็จพระสังฆราช พิจารณาในทางหลักการแล้ว ตำแหน่งเหล่านี้มิได้มีลักษณะแตกต่างจากเจ้าหน้าที่ของรัฐในฝ่ายบ้านเมืองเลย เนื่องจากผู้ดำรงตำแหน่งเช่นว่านั้นต่างได้รับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนจากรัฐที่เรียกว่า “นิตยภัต” ซึ่งมาจากงบประมาณแผ่นดินโดยตรง และประการสำคัญคือมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะให้คุณให้โทษในเรื่องต่างๆ ได้อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันแล้ว กลับยังมีความไม่ชัดเจนบางประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ทั้งนี้ เพราะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตีความว่าพระไม่ถือเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามกฎหมาย ป.ป.ช. ส่งผลให้กระบวนการยื่นบัญชีและการตวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินตามกฎหมายดังกล่าว ไม่อาจนำมาใช้กับบรรดาพระสังฆาธิการเหล่านี้ได้

ผศ. ดร.กริช กล่าวว่า เมื่อศึกษาข้อกฎหมายแล้วพบว่า กฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมทรัพย์สินของวัดนั้นมีอยู่แล้ว นั่นคือ “กฎกระทรวงการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด พ.ศ. 2564” ซึ่งระบุชัดเจนว่า วัดทุกแห่งสามารถเก็บเงินสดไว้ได้ไม่เกิน 1 แสนบาท ส่วนที่เหลือจะต้องนำฝากเข้าบัญชีธนาคารที่เปิดในนามของวัดนอกจากนี้กฎกระทรวงฉบับเดียวกันยังระบุให้วัดทุกแห่งต้องจัดทำบัญชีรายรับ รายจ่าย และต้องสรุปยอดรวมพร้อมคงเหลือในทุกสิ้นปีปฏิทินอีกด้วย

สำหรับการดำเนินงานตามกฎกระทรวงข้างต้น พศ. จะต้องเป็นหน่วยงานที่คอยให้คำแนะนำและตรวจสอบความถูกต้องในการปฏิบัติของวัดต่าง ๆโดยตามข้อ 10 ของกฎกระทรวงฉบับนี้กำหนดให้ พศ. เป็นผู้กำหนดแบบฟอร์มของบัญชี และแบบพิมพ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเป็นผู้ให้คำแนะนำแก่วัดในด้านการจัดทำทะเบียน การดูแล และการบริหารจัดการศาสนสมบัติอย่างเป็นระบบ

นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในขณะนี้สิ่งที่สมควรจับตามองคือแนวทางการจัดทำกฎหมายฉบับใหม่ในชื่อ “พ.ร.บ. การอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา” ซึ่งมีสาระสำคัญคือการบัญญัติโทษทางอาญาทั้งโทษปรับและโทษจำคุกแก่พระภิกษุและสีกาที่ร่วมเสพเมถุนจนต้องอาบัติปาราชิก วัตถุประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำอีก ส่วนตัวมีข้อสังเกตว่า หากจะมีการออกกฎหมายเช่นนั้นจริงก็เป็นเรื่องที่จะต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง โดยการบัญญัติกฎหมายที่มีโทษทางอาญาจะต้องใช้ถ้อยคำที่ชัดเจนปราศจากความคลุมเครือ เพราะโทษที่กฎหมายกำหนดไว้มีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอย่างรุนแรง ทั้งนี้ มิพักต้องกล่าวถึงว่า ที่สุดแล้วประเด็นปัญหาซึ่งมีความพัวพันกับศีลธรรมอย่างมากเช่นนี้ สมควรถูกบัญัติให้เป็นความผิดทางอาญาหรือไม่
“ในความเห็นส่วนตัว ผมมองว่าการออกกฎหมายลงโทษพระที่มีความสัมพันธ์กับสีกานั้น แม้จะดูเหมือนเป็นการจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แต่ก็อาจเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะในหลายกรณี ต้นตอของปัญหาอยู่ที่ระบบการเงินของวัด ซึ่งเปิดช่องให้พระสังฆาธิการบริหารจัดการได้อย่างไม่มีกลไกการตรวจสอบที่เพียงพอ หากไม่แก้ไขเรื่องนี้ ปัญหาเดิมก็จะกลับมาอีก” ผศ. ดร.กริช กล่าว

ผศ. ดร.กริช กล่าวอีกว่า นอกเหนือจากประเด็นการกำหนดโทษทางอาญาแก่พระภิกษุและสีกา ซึ่งกำลังอยู่ในความสนใจของผู้คนแล้ว พศ. ยังได้ใช้กระแสสังคมที่เกิดขึ้น ผลักดันให้มีการบัญญัติกฎหมายเอาผิดบุคคลซึ่งดูหมิ่น ล้อเลียน หรือบิดเบือนคำสอนของพระพุทธศาสนาไปในคราวเดียวกันด้วย ซึ่งประเด็นดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่น่ากังวล เนื่องจากบทกฎหมายเช่นนี้อาจกลายเป็นเครื่องมือในการปิดปาก สาธารณชนในการตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์ และให้ข้อเสนอแนะต่าง ๆ เกี่ยวกับกิจการทางพระพุทธศาสนา ซึ่งย่อมส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ตลอดจนหลักความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในสังคมประชาธิปไตย

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก สยามรัฐ

ตำรวจเมืองกาฬสินธุ์ร่วมฝ่ายปกครองอำเภอเมืองฯปล่อยแถวระดมปราบเด็กแว้นยึดจยย.เสียงดัง 6 คัน

13 นาทีที่แล้ว

"แนน บุณย์ธิดา" เย้ย "พท." นั่งไม่ติดขนทัพใหญ่ลงหาเสียงเลือกตั้งซ่อมเมืองลำดวนกลัว "ภท."

15 นาทีที่แล้ว

“ฮุน เซน” ขยับ “ทักษิณ” ขยาด !

18 นาทีที่แล้ว

พิษ“วิภา”คร่าชีวิตนักท่องเที่ยวในเวียดนาม 37 ศพ

19 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความการเมืองอื่น ๆ

เดือด ทักษิณ ลั่นไม่คุย ฮุน เซน อีกแล้ว หวั่นโดนอัดเสียงซ้ำ อีกฝ่ายสวน คนไทยเชื่อผมมากกว่า

มุมข่าว

"แนน บุณย์ธิดา" เย้ย "พท." นั่งไม่ติดขนทัพใหญ่ลงหาเสียงเลือกตั้งซ่อมเมืองลำดวนกลัว "ภท."

สยามรัฐ

‘ปลัด มท. สั่งการทุกจังหวัดRe X-ray กวาดล้างยาเสพติด

เดลินิวส์

ทบ. ซัดกัมพูชาบิดเบือน กล่าวหาไทยฝังทุ่นระเบิด ยันที่พบไม่ใช่ของไทย

MATICHON ONLINE

จี๊ด! ‘อังเคิลฮุน’ ย้อน ‘ทักษิณ’ ถ้าผมขาดคุณธรรม ทำไมถึงยังพึ่งพามาตลอด 19 ปี

ไทยโพสต์

ทบ. ไม่ทนแฉ กัมพูชา ใช้คลิปภารกิจ T-MAC ใส่ร้าย ทหารไทย ฝังทุ่นระเบิด

กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวและบทความยอดนิยม