จุดเสี่ยง ‘แดง-น้ำเงิน’ นับถอยหลัง'ล้างกระดาน'

การเมืองส่งสัญญาณ“ล้างกระดาน”ท่ามกลางฉากนิติสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ เห็นชัดถึงสภาวะที่ต่างฝ่ายต่างมีแผล

ฝั่ง “2 พ่อลูกชินวัตร” ทั้ง “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่เพื่อไทย และ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม เวลานี้กำลังเผชิญเกมนิติสงครามที่รายล้อม

ต้องจับตาเดือนส.ค.ที่อาจได้เห็นการเมืองฉากใหญ่ ทั้งคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 ซึ่ง “ทักษิณ” ตกเป็นจำเลย กรณีให้สัมภาษณ์สื่อทีวีต่างประเทศ ประเทศเกาหลีใต้ในลักษณะพาดพิงดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูงเมื่อปี2558 โดยศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ในวันที่ 22 ส.ค.

ยิ่งล่าสุดที่ประชุมสภาฯเมื่อวันที่ 16ก.ค.มีมติ“คว่ำ” 2 ร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการล้างผิดกับกลุ่มผู้ชุมุนุมทางการเมือง หรือพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ซึ่งมีเนื้อหานิรโทษกรรมในคดีความผิดตามมาตรา 112ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า ประตูนิรโทษกรรมในคดี112 ของ“ทักษิณ”ถูกปิดตายลงในทันทีทันใด

เหนือไปกว่านั้นยังมีคดีที่ศาลฎีกาฯ เปิดให้มีการไต่สวนกรณีการบังคับโทษคดีถึงที่สุดของ“ทักษิณ”ในการส่งตัวรักษาที่รพ.ตำรวจ

คดีนี้ศาลได้ไต่สวนพยาน20ปาก รวม6 นัดประกอบไปด้วยวันที่ 4 -8-15-18-25-30 ก.ค. คาดว่าจะมีคำพิพากษา ในช่วงกลางเดือนถึงปลายเดือนส.ค.เช่นเดียวกัน

ม.112-ชั้น14จุดตาย“ทักษิณ”

ทั้ง2คดีถือเป็น “จุดอ่อนไหว” ของนายใหญ่ค่ายแดงอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น โดยเฉพาะคดีชั้น14 ซึ่งมีการไต่สวนครั้งล่าสุดไปเมื่อวันที่18ก.ค.ที่ผ่านมา

โดยเฉพาะประเด็นอาการของ “ทักษิณ” บางช่วงบางตอน มีการระบุชัดจากทีมแทพย์ที่รักษา อาการของอดีตนายกฯ “ไม่ได้วิกฤติ” ตามที่มีการกล่าวอ้างแต่ต้น จุดนี้เองที่อาจเป็น “จุดตาย”ในคดีนี้

ยังไม่รับรวมบ่วงร้อนคลิปเสียงสนทนาระหว่าง“แพทองธาร ชินวัตร”นายกรัฐมนตรี กับ“สมเด็จฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา เกี่ยวกับความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาที่เวลานี้ “นายกฯอิ๊งค์” ถูกศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่หลังรับคำร้อง “36สว.” และเปิดให้ชี้แจงข้อกล่าวหาภายใน15วัน ซึ่งครบกำหนดไปตั้งแต่วันที่16ก.ค.ที่ผ่านมา

ล่าสุด“ทีมกุนซือนายกฯ” ได้ขอขยายเวลาส่งคำชี้แจงไปอีก15วันซึ่งจะครบกำนดในวันที่1ส.ค.นี้ จากนั้นศาลรัฐธรรมนูญต้องส่งคำแก้ข้อกล่าวหาให้ สว.ยื่นหักล้างภายใน 15 วัน เสร็จรวมกระบวนการคาดว่าจะใช้เวลา45-60 วันและน่าจะชี้ขาดในช่วงเดือนก.ค.

เหนือไปกว่านั้นล่าสุดยังมีกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนในคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เตรียมเสนอผลสอบ ต่อ“แสวง บุญมี” เลขาธิการกกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เพื่อวินิจฉัยกรณีมีผู้ยื่น6คำร้อง กล่าวหา "ทักษิณ" อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคใด แต่ได้เข้าไป ชี้นำหรือครอบงำ พรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาลเดิม รวม 6 พรรค โดยเฉพาะในการประชุมที่ บ้านจันทร์ส่องหล้า ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลง เมื่อวันที่ 14 ส.ค.2567

ประเด็นนี้แม้จะมีคำชี้แจงจากฝั่งกกต.กาง “6ไทม์ไลน์” ซึ่งตามกระบวนการยังอีกยาวไกล

ทว่าในประเด็นนี้เองที่มีการวิเคราะห์ว่า หากผลเป็นลบอาจนำไปสู่การยุบ “6 พรรคการเมือง” ประกอบด้วยพรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาชาติ พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ต่างอะไรกับการ “ล้างกระดานการเมือง” ครั้งใหญ่เลยทีเดียว

“เช็คบิล-ล้มกระดาน” สีน้ำเงิน

ไม่ต่างจาก“ฝั่งสีน้ำเงิน” หลังเปิดเกมแตกหักกับ “ฝั่งแดง” โดยมีชนวนเหตุมาจากการยึดคืนกระทรวงมหาดไทยจากภูมิใจไทยกลับมาอยู่ในการดูแลของพรรคแกนนำ ไม่ต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างสองพรรคใหญ่ที่เปิดฉากเอาคืนกันไปมา เสมือนว่าไม่เคยร่วมรัฐบาลกันมาก่อน

ทั้งปฏิบัติการณ์ “ล้างบาง” กระทรวงมหาดไทย เด้งสายตรง “ครูใหญ่สีน้ำเงิน” เข้ากรุ เพื่อสลายอำนาจสีน้ำเงิน ก่อนขยับไปที่ปฏิบัติการรุกคืบทวงคืนที่ดินเขากระโดง ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นฐานที่มั่นของ “ตระกูลชิดชอบ”

ไม่ต่างจากสารพัดโครงการในแต่ละกระทรวงในยุคสีน้ำเงินครองอำนาจ ที่ถูก “ล้างบาง” ลามไปถึงการ “ไล่เช็คบิล” กันเป็นระนาว ไม่ว่าจะเป็น “นโยบายกัญชา” ที่ถูกคว่ำลงแบบทันทีทันใดหลัง2พรรคเปิกเกมแตกหัก

ถัดมาโครงการขนาดใหญ่ในกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) และกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ซึ่งเคยอยู่ภายใต้การกำกับของพรรคภูมิใจไทย ถูกสั่ง “ระงับ” หรือ “ทบทวน” หลายโครงการ รวมมูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท

หรือกรณีการยื่นตรวจสอบการเอื้อประโยชน์ช่วยเหลือบริษัทเอกชนที่ชนะการประมูลงาน โครงการจ้างจัดทำ และต่อใบอนุญาตแรงงานต่างด้าว ที่พบการเดินเกมผ่านบรรดา “นักร้อง” ในการยื่นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบในเวลานี้

ล่าสุดยังมีกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ“ดีเอสไอ” ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีสนามบินส่วนตัวรุกทางสาธารณะและที่ดินในนิคมลำตะคอง

ประเด็นนี้ชัดเจนว่าล็อกเป้าไปที่ “เสี่ยหนู ” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นผู้ยื่นขอใช้พื้นที่ในยุคที่เป็นรองนายกฯและรมว.มหาดไทย

ยังไม่นับรวม“เกมนิติสงคราม” ที่ถูกเปิดฉากเอาคืน แถมส่อแวว “ล้างกระดานสีน้ำเงิน” ล่าสุดคือกรณีที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง ชุดที่ 26 ของสำนักงาน กกต. ซึ่งรับผิดชอบคดีฮั้ว สว. ได้ประชุมสรุปสำนวนการสอบสวน

โดยมีมติเสนอ กกต.เห็นควรดำเนินคดีต่อต่อผู้ถูกกล่าวหาจำนวน 229 คน แบ่งเป็น สว. 138 คน กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย และเครือข่ายอีก 91 คนตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561 มาตรา 70 ประกอบ มาตรา 36 มาตรา 62 มาตรา 76 และ มาตรา 77 (1)

ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการสืบสวนเห็นว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวเข้าข่ายมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าทำให้ได้รับเลือกมาเป็นสมาชิกวุฒิสภาโดยไม่สุจริต เที่ยงธรรม และขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 113 ที่บัญญัติว่า สว.ต้องไม่ฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมืองใด ๆ ในส่วนข้อกล่าวหานี้

สำหรับขั้นตอนต่อไปคณะกรรมการไต่สวน จะเสนอเรื่องสู่การพิจารณาของที่ประชุมกกต.และหากที่ประชุมมีมติเห็นพ้องด้วย ก็อาจนำไปสู่การร้องต่อกกต.ขอให้เสนอศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคต่อไป

ขณะที่ “เกมคู่ขนาน” ใน“คดีอั้งยี่” และ “ฟอกเงิน” ที่อยู่ในส่วนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)

ล่าสุด พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยว่า การสอบสวนขณะนี้มีความคืบหน้า 70 เปอร์เซ็นต์ มีการสอบปากคำพยานรวมแล้ว 90 ปาก ทั้งกลุ่มที่เข้าไปรู้เห็นการวางแผน การทำหน้าที่ต่างๆ และพยานหลักฐานเกี่ยวกับการโอนเงิน ขณะเดียวกันได้มีการประชุมร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อพิจารณาองค์ประกอบความผิดเกี่ยวกับฟอกเงินเพิ่มเติม

“ดีเอสไอ” ยังเปิดเส้นทางของกระบวนการนี้ ที่พบความเชื่อมโยงเส้นทางการเงินกับ “นักการเมืองท้องถิ่น ในกว่า 30 จังหวัด และมีแนวโน้มขยายไปถึง “นักการเมืองระดับประเทศ” อาจรวมถึงผู้ที่มีตำแหน่งในพรรคการเมืองซึ่งไม่ต้องเดาให้ยุ่งยากว่าเป็นพรรคใดอีกด้วย

เป็นเช่นนี้ต้องจับตาศึกแดง-น้ำเงิน ที่มีการเปิดฉากเอาคืนกันไปมา ในสภาวะที่ต่างฝ่ายต่างมีแผล ทำไปทำมาบทสรุปอาจไม่ได้อยู่ที่ฝ่ายใดเป็นฝ่ายแพ้-ชนะ

อ่านเกมนิติสงครามที่กำลังดำเนินอยู่ในเวลานี้ดูแล้ว จากที่มีการเอาคืนกันไปมาระหว่างฝั่งแดง-น้ำเงิน ทำไปทำมาอาจกลายเป็นเกมล้างกระดานการเมืองทั้ง2ฝั่งก็เป็นได้