โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

‘รักษาตัวนอกเรือนจำ’ คดีชั้น 14 – ไต่สวนนัดที่ 4 ผู้บริหาร “ราชทัณฑ์” ใครมีอำนาจส่ง-อนุมัติ นอน รพ.ตำรวจ

ไทยพับลิก้า

อัพเดต 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ตลอดระยะเวลาเกือบ 6 ชั่วโมงของการไต่สวนมีการกล่าวถึงข้อกฎหมาย ระเบียบ และอำนาจตามตำแหน่งของพยานในแต่ละช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องกับคดีชั้น 14 ของนายทักษิณ ชินวัตร โดยสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้าเรียบเรียงพร้อมลำดับเหตุการณ์จากคำเบิกความทั้งหมด รายละเอียด และใจความบางส่วนที่ถูกเอ่ยขณะไต่สวนว่าข้อเท็จจริง “ไม่ตรงกัน”

ตลอดระยะเวลาดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่รัฐภายใต้สังกัดกรมราชทัณฑ์ อย่างน้อย 4 คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีชั้น 14 นอกจากนี้ยังมีบุคลากรทางการแพทย์และผู้บริหารทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ รวม 2 คน เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ดังกล่าว จึงเป็นเหตุศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งให้นัดไต่สวนในวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.00 น. นับเป็นการไต่สวนครั้งที่ 4 ของคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 และในครั้งนี้ ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้บุคคลภายนอกที่เข้าฟังการไต่สวนจดบันทึกคำเบิกความของพยานบุคคลและพยานเอกสารที่ศาลไต่สวน เนื่องจากอาจกระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคล

ลำดับข้อเท็จจริง และหน้าที่ตามกฎหมายเหตุการณ์ตั้งแต่นายทักษิณ ชินวัตร ในฐานะนักโทษชายเด็ดขาด มุ่งหน้าสู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจในช่วงเที่ยงคืนวันที่ 23 สิงหาคม 2566 จนกระทั่งผ่านไป 180 วันสู่การพักโทษ ระหว่างทางก่อนถึงวันที่ 180 ใครมีอำนาจอะไร ใครตัดสินใจอย่างไร ภายใต้อำนาจใด

ทั้งนี้ 6 ปากที่เบิกความต่อศาล ตามลำดับ ดังนี้

  • นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ – ผู้เห็นชอบให้นายทักษิณ ชินวัตร พักรักษาตัว ณ โรงพยาบาลตำรวจ
  • นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ – ปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์
  • นายชาญ วชิรเดช รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ – ปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทนอธิบดีกรมราชทัณฑ์
  • นายนัสที ทองปลาด อดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
  • นพ.พงศ์ภัค อารียาภินันท์ ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์
  • นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์

รักษาตัวนอกเรือนจำ 30-60-120 วัน ใครอนุมัติ

ประเด็นของผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ (อธิบดีและรองอธิบดี 2 ราย) เน้นไปที่การอ้างถึงกฎหมายอย่างน้อย 2 ฉบับ

  • พ.ร.บ. ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560

  • มาตรา 54 ให้เรือนจําทุกแห่งจัดให้มีสถานพยาบาล เพื่อเป็นที่ทําการรักษาพยาบาลผู้ต้องขังที่ป่วย จัดให้มีแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าพนักงานเรือนจําที่ผ่านการอบรมด้านการพยาบาล ซึ่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่เป็นประจําที่สถานพยาบาลนั้นด้วย อย่างน้อยหนึ่งคน และให้ดําเนินการอื่นใดเกี่ยวกับการตรวจร่างกายตามมาตรา 37 การดูแลสุขอนามัย การสุขาภิบาล และการตรวจสุขภาพ ตามความจําเป็น รวมทั้งสนับสนุนให้ผู้ต้องขังได้รับโอกาสในการออกกําลังกายตามสมควร และจัดให้ผู้ต้องขังได้รับอุปกรณ์ช่วยเกี่ยวกับสายตาและการได้ยิน การบริการทันตกรรม รวมถึงอุปกรณ์สําหรับผู้มีกายพิการตามความจําเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามระเบียบกรมราชทัณฑ์

    • มาตรา 55 วรรคสอง หากผู้ต้องขังนั้นต้องได้รับการบำบัดรักษาเฉพาะด้านหรือถ้าคงรักษาพยาบาลอยู่ในเรือนจำจะไม่ทุเลาดีขึ้น ให้ส่งตัวผู้ต้องขังดังกล่าวไปยังสถานบำบัดรักษาสำหรับโรคชนิดนั้นโดยเฉพาะ โรงพยาบาลหรือสถานบำบัดรักษาทางสุขภาพจิต นอกเรือนจำต่อไป ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และวิธีการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ระยะเวลาการรักษาตัว รวมทั้งผู้มีอำนาจอนุญาต ให้เป็นไปตามกฎกระทรวงโดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ
  • กฎกระทรวง การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563

  • ข้อ 7 กรณีผู้ต้องขังพักรักษาตัวที่สถานที่รักษาผู้ต้องขังตามข้อ 3 เป็นเวลานาน ให้ผู้บัญชาการเรือนจำดำเนินการ ดังต่อไปนี้

  • พักรักษาตัวเกินกว่า 30 วัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดีพร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง

  • พักรักษาตัวเกินกว่า 60 วัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้ปลัดกระทรวงทราบ

  • พักรักษาตัวเกินกว่า120 วัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้รัฐมนตรีทราบ

แม้กฎกระกระทรวงในการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำข้างต้นระบุว่า ต้องขอความเห็นชอบจากอธิบดี แต่ในช่วงเวลาที่เกิน 30 วัน และ 60 วัน กลับไม่ใช่อธิบดีที่ปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากติดภารกิจที่ต่างจังหวัด ทำให้รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ 2 ราย ณ เวลานั้นกลายเป็นผู้เกี่ยวข้องกับการอนุญาตให้พักรักษาตัวนอกเรือนจำโดยปริยาย

หลังจากการรักษาตัวนอกเรือนจำเกิน 30 วัน รองอธิบดีก็ได้ให้ความเห็นชอบ เนื่องจากมีใบประกอบความเห็นแพทย์ 1 ฉบับ ซึ่งระบุถึงอาการของโรค (ไม่สามารถเปิดเผยได้ตามคำสั่งศาล) และเหตุจำเป็นที่ต้องพักรักษาตัวต่อ ต่อมาเมื่อเกิน 60 วันของการพักรักษาตัวนอกเรือนจำ รองอธิบดีอีกรายยังคงเห็นชอบ เพราะใบประกอบความเห็นแพทย์ 1 ฉบับ ซึ่งยังคงระบุอาการของโรคเดิม ประกอบกับอาการใหม่ และเหตุจำเป็นที่ต้องพักรักษาตัวต่อ โดยทั้ง 2 ครั้ง ระบุตรงกันถึงความจำเป็นต้องผ่าตัดอย่างเร่งด่วน

เมื่อการพักรักษาตัวนอกเรือนจำดำเนินมาถึง 120 วัน อธิบดีกรมราชทัณฑ์คนดังกล่าว ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งนี้อย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม 2566 จึงเห็นชอบให้พักรักษาตัวต่อ พร้อมใบประกอบความเห็นแพทย์ 2 ฉบับ ระบุถึงอาการที่รุนแรงขึ้น เมื่อรวมกับประวัติการรักษาเดิม ทำให้เห็นถึงเหตุจำเป็นที่ต้องพักรักษาตัวต่อ

ประเด็นหนึ่งในการไต่สวนซึ่งศาลตั้งข้อสังเกตเป็นระยะคือ ผู้เกี่ยวข้องไม่ได้มีการติดตามอาการ และไม่ได้นำตัวกลับมารักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์อีกเลย เนื่องจากข้อเท็จจริงปรากฏว่านายทักษิณอยู่ในการควบคุมของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ และไม่ได้มีการร้องขอ หรือ การถามติดตามอาการกับแพทย์รพ.ตำรวจทุก 30, 60 หรือ 120 วัน มีเพียงใบรับรองแพทย์ที่ระบุอาการป่วยเท่านั้น

ศาลจึงตั้งข้อสังเกตในทำนอง “เชื่อได้อย่างไร” และพยาน “ไม่สงสัยเพิ่มเติม” ยิ่งกว่านั้นเป็นไปได้หรือไม่ ที่ในบางช่วงของการรักษาอาจไม่เกินศักยภาพของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์

สืบเนื่องจากชุดคำถามประเด็นการไม่ได้นำตัวกลับมารักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์อีกเลย โดยข้อเท็จจริงได้ถูกยืนยันตรงกันจากพยานหลายปากว่าหลังจากช่วงเที่ยงคืนของคืนวันที่ 23 สิงหาคม 2566 กับเหตุการณ์แอดมิทผู้ป่วยวิกฤติ นายทักษิณก็ไม่ได้กลับมาเหยียบเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครอีกเลย

กางกฎหมายส่งตัว-คุมขังกรณีพิเศษ เทียบเคียงเคสในอดีต

ไม่ว่าจะเป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ หรือรองอธิบดีฯ อีก 2 ราย ต่างถูกไต่สวนในเชิงอำนาจและขั้นตอนทางกฎหมาย เจตนาการอนุญาตให้พักรักษาตัว และความเห็นอื่นๆ แม้จะมีการซักถามและให้ลำดับเหตุการณ์ แต่ทั้งหมดไม่ใช่พยานปากเอกในช่วงเวลาที่นายทักษิณอยู่ที่ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจได้ เว้นแต่ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ณ เวลานั้น ซึ่งเป็นพยานที่ได้เห็นห้องพักรักษาตัวที่ชั้น 14 และบอกว่า ไม่ต่างจาก “ห้องพยาบาลทั่วไป”**

กฎหมาย-ระเบียบฉบับหนึ่ง ซึ่งถูกกล่าวถึงอย่างมี ‘นัยสำคัญ’ ในการไต่สวนผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร คือกฎกระทรวง การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ..2563 ตัวอย่างเช่น

  • ข้อ 2 เมื่อผู้บัญชาการเรือนจำได้รับรายงานจากเจ้าพนักงานเรือนจำว่า ผู้ต้องขังคนใดป่วย มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิต หรือเป็นโรคติดต่อ ให้ส่งตัวผู้ต้องขังคนนั้นไปรีบการตรวจในสถานพยาบาลของเรือนจำโดยเร็ว ถ้าผู้ต้องขังคนนั้นต้องได้รับการบำบัดรักษาเฉพาะด้าน หรือ ถ้าคงรักษาพยาบาลอยู่ในเรือนจำจะไม่ทุเลาดีขึ้น ให้ดำเนินการ…

การยกระเบียบดังกล่าวเพื่อตอบคำถามแนวปฏิบัติในการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำว่า จำเป็นต้องส่งตัวไปโรงพยาบาลเครือข่ายก่อนหรือไม่ ซึ่งในบริบทนี้คือ จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครต้องไปทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เป็นลำดับแรก ส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันถึงแนวปฏิบัติดังกล่าว โดยอ้างถึงพ.ร.บ. ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 มาตรา 55 วรรคสอง ซึ่งเปิดช่องให้ไปพักรักษาตัวนอกเรือนจำได้ หากเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข โดยเหตุผลครั้งนี้คือ ‘ผู้ป่วยวิกฤติ’

อย่างไรก็ตาม ช่วงหนึ่งของการไต่สวนได้มีการตีความกฎหมายตามข้อ 2 แห่งกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังฯได้ระบุถึงปัญหา 2 ประเภท ได้แก่ ปัญหาสุขภาพจิต หรือโรคติดต่อ แต่มิได้ชี้ชัดถึงอาการป่วยวิกฤติรุนแรงถึงแก่ชีวิต และ ‘โรคไม่ทุเลา’ จึงอาจไม่ต้องส่งตัวไปตรวจในสถานพยาบาลของเรือนจำก็ได้

  • ข้อ 3 การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิจารณาสถานบำบัดรักษาสำหรับโรคชนิดนั้นโดยเฉพาะ โรงพยาบาล หรือสถานบำบัดรักษาทางสุขภาพจิตของรัฐตามสิทธิการรักษาของผู้ต้องขัง และอยู่ในพื้นที่ที่สามารถส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาได้เป็นลำดับแรก เว้นแต่แพทย์ผู้ทำการตรวจรักษามีความเห็นให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาในโรงพยาบาลเอกชน เพราะสถานที่รักษาของรัฐดังกล่าวขาดเครื่องมือหรืออุปกรณ์ในการรักษาผู้ต้องขัง

  • ข้อ 4 เมื่อผู้บัญชาการเรือนจำอนุญาตให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ให้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้

  • ข้อ 4(1) จัดเจ้าพนักงานเรือนจำอย่างน้อยจำนวนสองคนควบคุมผู้ต้องขังป่วยหนึ่งคนให้อยู่ภายในเขตที่กำหนด เว้นแต่การออกนอกเขตนั้นเป็นกรณีจำเป็นเร่งด่วนตามคำสั่งแพทย์

  • ข้อ 4(2) ตรวจสอบสิทธิการรักษาของผู้ต้องขังให้เป็นไปตามที่ทางราชการจัดให้ และห้ามผู้ต้องขังเข้ามาอยู่ในห้องพักพิเศษแยกจากผู้ป่วยทั่วไป เว้นแต่ต้องพักรักษาตัวในห้องควบคุมพิเศษตามที่สถานที่รักษาผู้ต้องขังตามข้อ 3 จัดให้

ผู้บัญชาการเรือนจำฯ มีหน้าที่ต้องดำเนินการตามข้อ 4 (2) กล่าวคือ กรณีนี้ต้องจัดให้นายทักษิณอยู่พักรวมกับผู้ป่วยคนอื่นๆ แต่ผบ.เรือนจำฯ ได้ย้ำให้ศาลเห็นคำว่า ‘เว้นแต่’ ต้องพักรักษาตัวในห้องควบคุมพิเศษ และตีความได้ว่าห้องพักชั้น 14 เป็นกรณีพิเศษตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

นอกจากนี้ยังมีการเทียบเคียงแนวปฏิบัติกับนักโทษเด็ดขาดรายอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน โดยเฉพาะกลุ่มที่อายุเกิน 70 ปี มีอาการเจ็บป่วย และขออนุญาตไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ตลอดจนมีการพยายามหาข้อเท็จจริงและข้อมูลนักโทษเด็ดขาดที่เคยพักรักษาตัวนอกเรือนจำเกินกว่า 120 วัน สะท้อนให้เห็นว่าจำเลยคดีนี้ได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกับอดีตที่ผ่านมาหรือไม่ อย่างไร

ความเห็นทางการแพทย์ต่อผู้ป่วยชั้น 14

2 ปากสุดท้ายคือผู้บริหารทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ทั้งสองรายล้วนเกี่ยวข้องในช่วงที่พักรักษาตัวเกิน 120 วัน โดยประเด็นหลักคือความเห็นทางการแพทย์ของอาการในแต่ละช่วงเวลาผ่าน Progress Note ของแพทย์และ Nurse Note ของพยาบาล และเอกสารข้อมูลผู้ป่วย ว่าอาการในแต่ละช่วงเวลา แต่ละเหตุการณ์ แต่ละวัน ทุเลาลงบ้างหรือไม่ ศัพท์ทางการแพทย์ต่างๆ บ่งชี้อะไร ยังคงวิกฤติหรือไม่ และอาการในแต่ละช่วงยังคงเกินศักยภาพของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์หรือไม่

อีกทั้งคำถามสำคัญคือ เมื่อได้อ่านหลักฐานต่างๆ ในฐานะแพทย์สามารถสรุปได้หรือไม่ว่าอาการป่วยของนายทักษิณเกินกว่าศักยภาพของของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ทั้งนี้ หลักฐานต่างๆ ประกอบด้วย ใบรับรองแพทย์จากต่างประเทศทั้ง 2 ประเทศ (ซึ่งเป็นเอกสารตั้งแต่ก่อนนายทักษิณเข้าเรือนจำฯ) บันทึกอาการของหมอเวร และคำบอกเล่าของพยาบาลเวรฯ

สุดท้ายเป็นเหตุการณ์สมมติ โดยศาลลำดับเหตุการณ์และให้ข้อมูลเบื้องต้น พร้อมให้ตอบในฐานะแพทย์ว่า หากอยู่ในเหตุการณ์ในช่วงดึกของคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 จะตัดสินใจกับนักโทษที่ป่วยวิกฤติรายนี้อย่างไร

(อนึ่งจากรายงานข่าวก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นพยาบาลได้ระบุว่าใช้เวลา 2 ชั่วโมง นอนในห้องกักโรคชั้นสอง และให้เพียงออกซิเจนเท่านั้นกว่าจะส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจ)

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ไทยพับลิก้า

กกพ.เสนอ 3 ทางเลือก ค่าไฟงวดสุดท้ายปี’68 ต่ำสุด 3.98 สูงสุด 5.10 บาท/หน่วย

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

TDRIชี้สปสช. ช่องโหว่ความโปร่งใส ไร้การถ่วงดุล ทบทวนบทบาทกก.- สิทธิประโยชน์ที่ไม่คุ้มค่า เพื่อให้กองทุนยั่งยืน

5 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

หน้า 1 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม 2568

MATICHON ONLINE
วิดีโอ

ดร.สุวินัย ชี้ไทยเสี่ยงกลายเป็นสนามรบขีปนาวุธ เหมือนยูเครน หากไม่ค้านฐานทัพสหรัฐ เราจะถูกจีนยิงเป็นจุดแรก

BRIGHTTV.CO.TH

เปิดสถิติหวย 1 ส.ค. ย้อนหลัง 20 ปี! ตรวจผลล่าสุด 1 ส.ค. 2567 พร้อมเลขเด็ดที่เคยออกบ่อย

เดลินิวส์

รองฯพิเชษฐ์ สั่งปิดประชุมสภาฯ เป็นครั้งที่ 3 เลี่ยงสภาฯ ล่ม

JS100

รถกระบะเสียหลักชนเสาไฟฟ้าริมถนนสาย โกสุมพิสัย-มหาสารคาม แล้วเกิดเพลิงลุกไหม้ทั้งคัน คนขับหนีตายรอดหวุดหวิด จ.มหาสารคาม

สวพ.FM91

น้ำมันขึ้น-ทองคำลง หุ้นสหรัฐฯบวกได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจ

Manager Online
วิดีโอ

รวบชายวัย 35 กลับจากฉลองวันเกิด เมาแล้วขับ-พกปืนเถื่อน

สวพ.FM91

ยูเครนเพิ่มการผลิตอาวุธ ขณะที่สหรัฐฯ โอนคำสั่งซื้อแพทริออตจากสวิตเซอร์แลนด์

JS100

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...