ปวิน เตือน!! รพ.สรรพสิทธิประสงค์ งดรับผู้ป่วยกัมพูชา ส่งผลเชิงลบกับภาพลักษณ์ประเทศ!
ปวิน เตือน ต้องชั่งน้ำหนักดีๆ ระหว่างความสะใจ กับชัยชนะบนเวทีโลก หลัง รพ.สรรพสิทธิประสงค์ งดรับผู้ป่วยกัมพูชา อาจส่งผลกระทบภาพลักษณ์ด้านมนุษยธรรม
ผู้สื่อข่าวโตโจ้นิวส์รายงานว่า ศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเกียวโต โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
เห็นข่าวนี้แล้วค่ะ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ที่งดรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาและยกเลิกบริการบางอย่างให้กับชาวกัมพูชาในช่วงวันที่ 31 ก.ค.–10 ส.ค. 68 เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ดิชั้นขอวิเคราะห์ว่าเหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความพยายามของไทยในการสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกทางการทูตในหลายมิติอย่างไรค่ะ
….ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ทางการทูตของไทย
1) บ่อนทำลายภาพลักษณ์ด้านมนุษยธรรม: ที่ผ่านมา ไทยพยายามนำเสนอตัวเองว่าเป็นประเทศที่มีบทบาทด้านมนุษยธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดูแลผู้ลี้ภัย แรงงานข้ามชาติ และผู้ป่วยจากประเทศเพื่อนบ้าน (และบางครั้งก็ล้มเหลว เช่น การส่งอุยกูร์กลับจีน) การจำกัดการเข้าถึงบริการทางการแพทย์สำหรับชาวกัมพูชา ย่อมถูกตีความว่าเป็นการละทิ้งหลักการด้านมนุษยธรรมพื้นฐาน แม้จะเป็นการชั่วคราวและมีเหตุผลด้านความมั่นคงรองรับ สิ่งนี้ขัดแย้งกับท่าทีของไทยในเวทีโลกที่มักเรียกร้องให้มีการคุ้มครองพลเรือนและการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในสถานการณ์ความขัดแย้ง (ดังที่เห็นในแถลงการณ์ของเอกอัครราชทูตไทยประจำสหประชาชาติก่อนหน้านี้ในประเด็นอิสราเอล-ปาเลสไตน์) นี่ทำให้การทูตไทยขาด consistency
2) ส่งผลต่อความสัมพันธ์ทวิภาคีกับกัมพูชา: การกระทำดังกล่าวอาจถูกมองว่าเป็นการตอบโต้หรือลงโทษพลเมืองกัมพูชาจากความตึงเครียดทางการเมือง ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความตึงเครียดและทำให้ความสัมพันธ์ทวิภาคีแย่ลงไปอีก แทนที่จะช่วยบรรเทาความขัดแย้ง การที่โรงพยาบาลเป็นหน่วยงานที่ให้บริการสาธารณะ การประกาศเช่นนี้จึงมีน้ำหนักและอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อจากฝ่ายกัมพูชา เพื่อสร้างเรื่องเล่าว่าไทยปฏิบัติต่อพลเมืองของตนอย่างไม่เป็นธรรม
3) ทำลายความน่าเชื่อถือในการทูตสาธารณะ: ในขณะที่ไทยพยายามต่อสู้กับ "ข่าวปลอม" และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความขัดแย้งชายแดน การประกาศของโรงพยาบาลเช่นนี้อาจถูกนำไปบิดเบือนหรือขยายผล ทำให้ความพยายามในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและน่าเชื่อถือของไทยลดลง ประชาคมโลกหรือสื่อต่างชาติอาจมองว่าไทยกำลัง "ผสมโรง" ใช้มาตรการที่ไม่ใช่การทหารมาตอบโต้ในสถานการณ์ความขัดแย้ง ซึ่งอาจไม่เป็นไปตามหลักการสากล
4) สร้างความกังวลจากองค์กรระหว่างประเทศ: องค์กรระหว่างประเทศด้านมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนอาจแสดงความกังวลหรือออกแถลงการณ์ประณามการกระทำดังกล่าว ซึ่งจะยิ่งสร้างแรงกดดันและภาพเชิงลบต่อประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ และไม่เป็นผลดีต่อความพยายามของไทยในการต่อสู้กับกัมพูชาในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ
5) อาจขัดแย้งกับนโยบายรวมของประเทศ: แม้จะมีเหตุผลด้านความมั่นคง แต่การตัดสินใจในระดับหน่วยงานท้องถิ่นเช่นนี้ หากไม่ได้รับการสื่อสารและบริหารจัดการอย่างระมัดระวังจากรัฐบาลกลาง อาจดูเหมือนเป็นการตัดสินใจที่ไม่ได้เป็นไปตามนโยบายต่างประเทศแบบองค์รวม และอาจทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับทิศทางและหลักการของไทยในการบริหารจัดการความสัมพันธ์ชายแดน
โดยสรุปแล้ว แม้โรงพยาบาลอาจมีเหตุผลด้านความปลอดภัยและความมั่นคงเฉพาะหน้า แต่การตัดสินใจงดให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชาในช่วงเวลาที่อ่อนไหวนี้ มีความเสี่ยงสูงที่จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อภาพลักษณ์ทางการทูตของประเทศไทย โดยเฉพาะในด้านมนุษยธรรมและความน่าเชื่อถือในเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งอาจบั่นทอนความพยายามในการสร้างภาพบวกและลดทอนความชอบธรรมในการสื่อสารประเด็นความขัดแย้งชายแดนของไทย เราต้องชั่งน้ำหนักนะคะ ระหว่าง "ความสะใจ" กับ "ชัยชนะในเวทีโลกในระยะยาว" เราจะเลือกอะไร?
#เพื่อไม่พลาดข่าวสารดีๆ อย่าลืมกดติดตามพวกเรา TOJO NEWS