กรรม (4)
สถาพร ศรีสัจจัง
ตัวอย่างเรื่องผลแห่ง “กรรม” หรือ “วิบากกรรม” (ตามแนวคิดพระพุทธศาสนา) ต่อกลุ่มคนชนชั้นนำ ชนชั้นปกครอง หรือ “อีลีท” ด้านการเมืองของสังคมไทย น่าจะไม่มี “คน” ไหน หรือ “คนกลุ่มไหน” โดดเด่นเท่ากรณีของ คุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนักโทษคนสำคัญของระบบยุติธรรมไทย ที่หนี “การลงโทษ” คดีที่ศาลไทยพิพากษาถึงที่สุดแล้วให้มีโทษจำขังรวม 10 ปีเต็ม โดยเขาสามารถหนีคดีไปใช้ชีวิตสุขสำราญแบบ “มหาเศรษฐี” อยู่ในต่างประเทศ กินเวลาถึงประมาณ 17 ปีเต็ม (จน 1 คดีที่ศาลสั่งจำขัง 2 ปี หมดอายุความ เหลือโทษที่ต้องจำคุกเพียง 8 ปี) และ เครือญาติ รวมถึง “กลุ่มพวกร่วมผลประโยชน์” ของเขา
ปัจจุบัน คุณทักษิณ กลับมาอยู่ประเทศไทยแบบ “ยิ่งใหญ่” เหมือนเดิม (หลังจากหนีคดีอยู่ 17ปี) โดยมีเนื้อหาเรื่องราวในทำนอง “ไม่ต้องติดคุกแม้สักวันเดียว” ดังที่เขาเคยลั่นวาจาไว้ก่อนหน้านั้น (เรื่องนี้จะขอไม่คุยในรายละเอียด เพราะผู้คนในสังคมไทยส่วนใหญ่น่าจะรู้ “เรื่องราว” กันหมดแล้วแต่ “กรรม” ที่เขาเคยก่อไว้อาจจะกำลังทำหน้าที่ “สนองกรรม” เร็วๆนี้!)
ฐานะของเขาในปัจจุบันมีตำแหน่งเป็น “พ่อนายกรัฐมนตรี” ที่สามารถ “สทร.” (เสือกได้ทุกเรื่อง) ของลูกสาว “สุดที่รัก” ที่ชื่อ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งปัจจุบันถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวจาก “กรรม” ที่ก่อขึ้นร่วมกับนายฮุนเซน เพื่อนรักคุณทักษิณ ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาและ พ่อของนายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชา จนก่อให้เกิดสงครามระหว่างกัน ทำให้ทั้งทหารและชาวบ้าน (ทั้ง 2 ฝ่าย) ต้องบาดเจ็บล้มตาย และ สูญเสียทั้งโอกาสทั้งทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก
นอกจากมีฐานะเป็น “พ่อนายกรัฐมนตรี” ที่ “สทร.” แล้ว มีเสียงพูดกันให้แซ่ดว่า เขาคือผู้มีอำนาจตัวจริงของพรรคเพื่อไทย
ทั้งยังเป็น “เป็นปูชนียบุคคล” ผู้เป็น “ที่ยึดเหนี่ยวทางจิตวิญญาณ” ของครอบครัวชินวัตร รวมถึงบางกลุ่มเหล่าของ “คนเสื้อแดง” ผู้สวามิภักดิ์ที่ยังหลงเหลือ…และ ของนักการเมืองทั้งใน “พรรคเพื่อไทย” และบรรดา “พรรคบริวาร” หรือ “พรรคเครือข่าย”
อันว่า “พรรคเพื่อไทย” นั้นที่พัฒนามาจากพรรคชื่อ “ไทยรักไทย” (ซึ่งถูกยุบพรรค) ที่ทักษิณ ชินวัตร จัดตั้งขึ้นเมื่อกลางปี พ.ศ.2541 ภายใต้การสนับสนุนอย่างอุ่นหนาฝาคั่งจากบรรดานักวิชาการ “สายสังคมนิยม” และ กลุ่มนักศึกษาที่ออกจากป่าเพราะ “อกหัก” จาก “พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย”
“…ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2544 พรรคไทยรักไทย ชนะเหนือพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งนำโดยชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นอย่างถล่มทลาย สส.ที่ได้รับการเลือกตั้งทั้งสิ้น 248 คน คิดเป็นร้อยละ 49.6 (วิกิพีเดีย)
หลังรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในครั้งนั้นทักษิณ ชินวัตร ประกาศคำมั่นสัญญาไว้ว่า
“ผมจะไม่ยอมทำหน้าที่เป็นเพียงผู้นำตามกฎหมายเท่านั้น ผมจะขอเป็นผู้นำที่นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ประเทศไทย เพื่อประเทศไทยที่ดีขึ้น พี่น้องที่เคารพครับ ผมจะขอทำหน้าที่เป็นรัฐบาลที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เป็นรัฐบาลที่จะทุ่มเททำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต”…" (วิกิพีเดีย)
กรุณาช่วยจำวลี “…จะทุ่มเททำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต” ไว้ดีๆ!!
หลังจากนั้นเขาก็ขาย “ความหวังเพื่อชีวิตที่ดีกว่า” แก่มวลชนชาวไทยอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น ด้วย “นโยบายประชานิยม” ที่แสนจะหอมหวานและดูดี!
มีตั้งแต่โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โครงการกองทุนหมู่บ้าน โครงการพักชำระหนี้เกษตรกร โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และโครงการส่งเสริมการลงทุนในชนบท เป็นต้น
หลายโครงการขายกันมาตั้งแน่ปีมะโว้ จนถึงรัฐบาล “พรรคเพื่อไทย” ปัจจุบัน(คนที่เขาไม่ชอบ มักเรียกพรรคนี้ว่า “พรรคทายาทอสูร”) ก็ดูเหมือนจะยังขายได้กันอยู่อีก!
คดีที่คุณทักษิณ “โดนเล่นงาน” โดย “ป.ป.ช.” ในประเด็น “ทุจริตต่อหน้าที่” (และภายหลังเพื่อต้องการของพระราชทานการอภัยโทษจากพระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัวเขายอมรับว่า “ทำผิดจริง” ซึ่งนั่นก็คือคำสารภาพว่า เขา “ทุจริตจริง”!) จนศาลต้องพิพากษาลงโทษในต่าง “กรรม” ต่างวาระ ที่ตัดสินแล้วมี 3 คดีสำคัญด้วยกัน คือ
คดีแรกคือ “คดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก” ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “คดีที่ดินรัชดา” นั่นแหละ คดีนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2551 ให้จำคุกนายทักษิณ ชินวัตร 2 ปี (แต่คดีหมดอายุความก่อนเขากลับเมืองไทย โทษจำคุกจึงยกเลิกไปโดยปริยาย)
คดีต่อมาคือคดี “สั่งการให้ธนาคารส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย อนุมัติเงินกู้สินเชื่อ 4,000 ล้านบาท แก่รัฐบาลสหภาพพม่า ในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน เพื่อให้รัฐบาลพม่านำเงินกู้ดังกล่าวไปซื้อสินค้าจากบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด(มหาชน) ซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่น คดีนี้ศาลฯพิพากษาเมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ.2562 ให้จำคุกเป็นเวลา 3 ปี ไม่รอลงอาญา
คดีที่ 3 คือคดี “ให้บุคคลอื่น(นอมินี)ถือหุ้น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นคู่สัญญาต่อหน่วยงานของรัฐ และเข้าไปมีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นในกิจการโทรคมนาคม” คดีนี้ศาลฯพิพากษาเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2563 รวมโทษให้จำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา แบ่งเป็น ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ จำคุก 2 ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการเข้ามามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เนื่องด้วยกิจการนั้น จำคุก 3 ปี
และแล้วในวันที่ 22 สิงหาคม 2566 (ค.ศ.2023) หลังจาก “โยนหินถามทาง” มาหลายครั้งหลายหน ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีก็เดินทางกลับประเทศไทย!
เป็นวันเดียวกันกับที่ “สภาสูง” หรือวุฒิสภาของไทย “โหวต” ลงมติรับรองให้นายเศรษฐา ทวีสิน “แคนดิเดต” จากพรรคเพื่อไทย ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย!
“วุฒิสภา” ที่คนในวง “การเมือง” ขณะนั้นล้วนรู้กันว่า มีอิทธิพลของ “คณะรักษาความสงบแห่งชาติ” (คสช.)ภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย (มาจากการรัฐประหารก่อนในครั้งแรก แล้วจึงมาจากการเลือกตั้งในครั้งที่ 2) สามารถสั่งให้หันซ้ายหันขวาได้!
แต่ครั้งนี้บรรดา “ท่านวุฒิสมาชิกผู้ทรงเกียรติ” เหล่านั้นกลับหันไปยกมือให้นายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคเพื่อไทย (ที่ใครก็รู้ว่า คือ “คู่กัด” เชิงผลประโยชน์ของ คสช.มาโดยตลอด) ที่หัวหน้าพรรคขณะนั้นคือ “แพทองธาร ชินวัตร” ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของทักษิณ ชินวัตร ที่คนในสังคมไทยลือกันให้แซ่ดว่าคือ “เจ้าของพรรคตัวจริง”!
เศรษฐา ทวีสิน จากพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของประเทศ ในวันเดียวกับที่อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ยิ่งใหญ่นาม “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้นิราศหนีคุกอยู่ในต่างประเทศถึง 17 ปี กลับประเทศเพื่อ “เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม”!
และแล้ว “วิบากกรรม” เรื่อง “ไม่ติดคุกแม้สักวันเดียว” หรือ ซีรีส์ ดรามาเรื่อง “ชั้น 14” ของ “ทักษิณ ชินวัตร” ก็เริ่มขึ้นตั้งแต่บัดนั้น!!!