บริษัทจัดหางานเผย Gen Z บิดเบือนข้อมูลใน Resume เพื่อให้ถูกเลือกในตลาดแรงงาน
ยุคนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นยุคของคน Gen Z เพราะถูกพูดถึงในกระแสสังคมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ การใช้ชีวิต หรือแม้แต่ประเด็นการหางานที่ดูเหมือนจะยากกว่าคน Gen อื่น ซึ่งก็น่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะรายงานใหม่เผยว่า เกือบครึ่งหนึ่งของวัยรุ่น Gen Z ที่กำลังหางาน ยอมรับว่าเคยโกหกในใบสมัครงานของตนเอง เนื่องจากการแข่งขันสูงขึ้น และสภาพแวดล้อมการจ้างงานในปัจจุบัน
รายงานล่าสุดชี้ว่า การ “แต่ง” หรือ “บิดเบือน” ข้อมูลใน Resume กำลังแพร่หลาย โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานรุ่นใหม่ แพลตฟอร์ม Career.io ระบุว่า จากการสำรวจพนักงาน 1,000 คน พบว่า 47% ของผู้สมัครงาน Gen Z เคยโกหกในใบสมัครงาน ขณะที่กลุ่ม Baby Boomer มีไม่ถึง 10%
ขณะเดียวกัน เว็บไซต์หางานในสหรัฐฯ FlexJobs สำรวจแรงงาน 2,200 คน และพบว่า 1 ใน 3 เคยโกหกและบิดเบือนความจริงใน Resume ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพระบุว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เพราะ “ศีลธรรมเสื่อมถอย” อย่างที่หลายคนคิด แต่เป็นเพราะ “แรงกดดันของตลาดแรงงาน”
ไม่ใช่ “ศีลธรรมเสื่อมถอย” แต่เพราะ แรงกดดันของตลาดแรงงาน
“เมื่อบริษัทหันไปใช้ AI และระบบอัตโนมัติมากขึ้น จำนวนงานระดับเริ่มต้น (Entry-Level) โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยีลดลง” คาไมโล อิสเคียร์โด (Camilo Izquierdo) ผู้เชี่ยวชาญด้าน PR ดิจิทัลจาก Career.io อธิบายงานวิจัยของทีมเขาว่า
การจ้างงานระดับเริ่มต้นในบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีลดลงกว่า 50% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 สถานการณ์นี้ทำให้บริษัทหันไปเลือกคนที่มีประสบการณ์มากกว่า ส่งผลให้เด็กจบใหม่มีโอกาสน้อยลง และกดดันให้พวกเขาต้องแต่ง Resume เพื่อให้ถูกมองเห็นในตลาดแรงงาน
และแรงกดดันนี้ไม่ใช่แค่ด้านเศรษฐกิจ แต่ยังมาจากวัฒนธรรมที่ Gen Z เติบโตมากับโซเชียลมีเดีย ซึ่งเต็มไปด้วยภาพลักษณ์ที่ถูกขัดเกลาโดย TikTok, Instagram และ Snapchat กลายเป็นพื้นที่ที่ทุกคนดูเหมือนจะ “ประสบความสำเร็จ” ทั้งยังมีอินฟลูเอนเซอร์บางรายออกมาสนับสนุนให้คนแต่ง Resume จึงไม่น่าแปลกใจที่คนรุ่นใหม่จะรู้สึกถูกดึงดูดให้ทำเช่นเดียวกัน
Gen Z บิดเบือนข้อมูล Resume แบบไหนบ้าง ?
29% ขยายความรับผิดชอบของงานให้มากเกินจริง
24% เพิ่มประสบการณ์การทำงานมากกว่าความเป็นจริง
19% แกล้งทำเป็นสนใจพันธกิจหรือแนวคิดของบริษัท
10% ปรับช่วงเวลาการทำงานเพื่อกลบช่องว่างการว่างงาน
โทนี พรานา (Tony Plana) ผู้เชี่ยวชาญจาก FlexJobs มองว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็นการสะท้อนปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น หลายคนรู้สึกว่าต้องแต่ง Resume เพื่อไม่ให้ถูกมองข้ามจากฝ่าย HR หรือเพื่อผ่านระบบคัดกรองอัตโนมัติ (Applicant Tracking System หรือ ATS) ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่บริษัทใช้เพื่อจัดการกระบวนการสรรหาบุคลากร เพื่อให้ดูเป็นผู้สมัครที่เหมาะสมที่สุด
ในอีกมุมหนึ่ง หลายองค์กรไม่ได้เลือกที่จะตรวจสอบเข้มงวดขึ้น แต่กลับปรับวิธีการจ้างงานใหม่ โดยหันมาเน้น “การจ้างงานที่อิงทักษะ” มากกว่าการพิจารณาจากคุณวุฒิหรือชื่อตำแหน่ง อิสเคียร์โดเสนอว่า ผู้หางานควรปรับ Resume ให้ชู “ทักษะ” มากยิ่งขึ้น พร้อมยกตัวอย่างผลงานที่เป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
7 ใน 10 บริษัทจะไม่จ้างผู้สมัครที่โกหก แม้จะมี “เหตุผลที่เข้าใจได้”
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงจากการโกหกหรือบิดเบือนข้อมูลใน Resume ถือว่าหนักหน่วง เพราะรายงานจาก Checkster ระบุว่า 7 ใน 10 บริษัทหรือผู้หาคนทำงานจะไม่จ้างผู้สมัครที่โกหก แม้จะมี “เหตุผลที่เข้าใจได้” และกว่า 60% จะปฏิเสธผู้สมัครที่ให้ข้อมูลอ้างอิงเท็จ
ทั้งนี้ FlexJobs พบว่า 58% ของผู้หางานค้นหางานทุกวัน โดย 2 ใน 5 ค้นหาวันละหลายครั้ง และเกือบครึ่งรู้สึกสิ้นหวังมากกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้แรงกดดันในการ “แต่ง Resume” ยิ่งทวีคูณ และผู้เชี่ยวชาญคาดว่า ปัญหานี้อาจรุนแรงขึ้นก่อนที่จะดีขึ้น
ไม่ว่าจะผู้สมัครจะวัยใดก็ตามรวมไปถึง Gen Z อาจรู้สึกว่าจำเป็นต้องโกหก เพื่อให้ถูกเลือก แต่ผลที่ตามมาอาจทำให้สูญเสียโอกาสในการทำงาน เพราะอย่าลืมความจริงที่ว่านายจ้างย่อมตรวจพบได้ถ้าเราไม่ได้ซื่อสัตย์ตั้งแต่แรก โดยอาจจะสังเกตจากการทำงาน หรือปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ถึงแม้ว่าจะมีแรงกดดันจริง แต่ไม่มีใครเข้าใจเราได้ขนาดนั้น เพราะนายจ้างประกาศหาคนทำงาน เมื่อเสียเงินจ้างก็ต้องการสิ่งที่ได้รับกลับมาแบบตรงปก เหมือนเราเลือกซื้อของ เราก็ต้องอ่านรีวิว และถ้ารีวิวเกินจริงของมาไม่ตรงปก เราก็ยังส่งกลับไปเลย
เพราะฉะนั้นการเล่าเรื่องความสามารถอย่างตรงไปตรงมาและแท้จริง คือหนทางที่ปลอดภัยและยั่งยืนที่สุด และเราก็จะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง เพราะสุดท้ายแล้ว ทักษะและความสามารถจริงเท่านั้นที่จะพาเราไปได้ไกล และไม่มีใครมาตั้งคำถามกับการทำงานของเรา