โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

นักวิชาการเสนอ 7 มาตรการเร่งด่วนรัฐบาลใหม่ก่อนยุบสภา

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 2 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 2 วันที่แล้ว

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ระบบและสถาบันทางเศรษฐกิจ สถาบันทางด้านการลงทุนของไทยมีความมั่นคงและเข้มแข็งระดับหนึ่งในการรองรับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลย่อมนำมาสู่ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายและมาตรการต่างๆทางเศรษฐกิจ การชะลอตัวของการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนย่อมเกิดขึ้น การชะลอตัวของการลงทุนจะมากหรือน้อยอยู่ที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้รวดเร็วแค่ไหนและองค์ประกอบของคณะรัฐมนตรีประกอบไปด้วยคนดีมีความรู้ความสามารถหรือไม่ ความเชื่อมั่นการลงทุนอาจสั่นคลอนมากขึ้นหากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้โดยเร็ว

แม้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้แล้ว แต่มีการคาดการณ์ว่า รัฐบาลใหม่อาจอยู่ไม่นานยิ่งทำให้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างและการปฏิรูปเศรษฐกิจไม่สามารถทำได้ในระยะนี้รวมทั้งโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่รอกระบวนการตัดสินใจต้องชะลอออกไปก่อน จนกว่าหลังการเลือกตั้งในอีก 4-6 เดือนข้างหน้า ซึ่งหวังว่าจะได้รัฐบาลเสียงข้างมากที่มีเสถียรภาพ

หากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองยังเป็นไปตามวิถีทางแห่งกฎหมายและครรลองของระบอบประชาธิปไตยตามกลไกรัฐสภา ผลกระทบทางเศรษฐกิจและการลงทุนจะอยู่ในระดับจำกัดและสามารถบริหารจัดการได้ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ที่ระดับ 2% ยังมีความเป็นไปได้ โดยอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกอยู่ที่ 3%

และคาดว่าเศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ทั้งการขยายตัวของภาคส่งออกที่อาจเริ่มติดลบตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป การชะลอตัวของภาคการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกอาจติดลบ โดยการขยายตัวของภาคการลงทุนเป็นบวกในช่วงครึ่งปีแรก การลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 1.4% ภาครัฐขยายตัว 17.5% หากรัฐสภาสามารถโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ในวันที่ 3 กันยายน ตลาดการเงินและตลาดหุ้นไทยน่าจะตอบสนองในทางบวก

อย่างไรก็ดี ขอเสนอมาตรการเร่งด่วน 7 ข้อต่อรัฐบาลใหม่ให้มีการดำเนินการก่อนคืนอำนาจให้ประชาชน ประกอบด้วย

  • เจรจาหารือกับรัฐบาลกัมพูชาเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดการปะทะกับตามแนวชายแดนไทยกัมพูชารอบใหม่ เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนและทหาร ป้องกันความเสียหายทางเศรษฐกิจและทรัพย์สิน

  • ฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยกัมพูชาให้กลับสู่ภาวะปรกติและเปิดด่านชายแดนเพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจการค้าสามารถดำเนินการได้ตามปกติ

  • เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 โดยเฉพาะงบลงทุนและเร่งรัดการดำเนินการโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับอนุมัติแล้ว

  • สนับสนุนการขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชนให้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

  • ออกมาตรการลดผลกระทบที่เกิดจากกำแพงภาษีและมาตรการกีดกันการค้าจากสหรัฐอเมริกาเพิ่มเติมโดยเฉพาะมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีและรักษาการจ้างงาน

  • มาตรการดูแลผลกระทบจากความผันผวนของสภาพภูมิอากาศต่อภาคเกษตรกรรมและราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ

  • มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและผ่อนคลายการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น

ส่วนนโยบายหรือมาตรการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจคงไม่สามารถดำเนินการอะไรได้มากนักในรัฐบาลใหม่ที่อายุ 4 เดือน การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและการปฏิรูปเศรษฐกิจในบางมิตินั้นต้องอาศัยความมีเสถียรภาพทางการเมืองและรัฐบาลต้องอยู่ยาวนานพอ อาจจะเกิดขึ้นได้หลังการเลือกตั้งหากได้รัฐบาลเสียงข้างมากเด็ดขาด การถดถอยลงของภาคส่งออกจากการชะลอของเศรษฐกิจโลก เป็นสิ่งที่รัฐบาลใหม่ต้องหันมาเอาใจใส่อย่างจริงจังในเรื่องการยกระดับขีดความสามารถของสินค้าไทยและการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้นประสิทธิภาพการผลิตโดยรวมของไทย (Total Factor Productivity of Thailand) นั้นยังมีอัตราการเติบโตต่ำ

ธุรกิจอุตสาหกรรมที่มีผลิตภาพสูงส่วนใหญ่เป็นโรงงานการผลิตของบรรษัทข้ามชาติที่มีการใช้เทคโนโลยีและทุนเข้มข้น งานวิจัยหลายชิ้นที่ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพการผลิตรวมของไทยขยายตัวต่ำกว่า 1.2-1.3% ในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีระดับประสิทธิภาพในการผลิต (Productive Efficiency) อยู่กึ่งกลางระหว่างประเทศที่ใช้แรงงานเป็นหลักและประเทศที่ใช้ทุนเป็นหลักจึงสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันนี้จะยาวนานมากจนกว่าไทยสามารถพัฒนากิจการที่มูลค่าเพิ่มสูง การผลิตใช้ปัจจัยทุนหรือเทคโนโลยีเข้มข้น พร้อมกับ สามารถพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีของตัวเอง ปัจจัยประสิทธิภาพการผลิตนี้เป็นสิ่งที่ส่งผลต่อพื้นฐานความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ซึ่งแตกต่างจากปัจจัยค่าแรง นโยบายสาธารณะ และอำนาจตลาดที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วและใช้เวลาสั้นกว่ามาก ภาวะการตกต่ำของภาคส่งออกไทยโดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมบางตัวจะเกิดขึ้นอย่างยาวนานหากไม่สามารถปรับปรุงผลิตภาพการผลิตได้ จากประสบการณ์ของประเทศที่สามารถก้าวข้ามพ้นกับดักรายได้ระดับปานกลางได้ เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ นั้น ภาครัฐจะต้องเข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมและพัฒนาระดับความสามารถทางการผลิตของประเทศเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระดับโลก

การกดค่าแรงไม่ใช่นโยบายที่ถูกต้อง เพื่อนร่วมชาติผู้ใช้แรงงานต้องได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ การกำหนดค่าแรงขั้นต่ำและเงินเดือนแรกเข้าสูงขึ้นเป็นนโยบายที่จะช่วยบรรเทาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจได้ระดับหนึ่งเท่านั้น ต้องมีมาตรการเชิงรุกอื่นๆเพิ่มเติมจึงสามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำเรื้อรังที่ต้นตอได้ การเติบโตด้วยการขับเคลื่อนจากฐานทรัพยากร และ ฐานแรงงานราคาถูกนั้นได้มาถึงขีดจำกัดอย่างชัดเจนและพ้นยุคสมัยไปแล้ว ความทรุดโทรมทางด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นในทุกพื้นที่ของประเทศ แม้นแต่อากาศและน้ำสะอาดก็ยังเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ในหลายพื้นที่ของประเทศ ภาคการผลิตของเศรษฐกิจไทยไม่สามารถอาศัยแรงงานทักษะต่ำราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านไปเรื่อยๆโดยไม่คิดยกระดับทักษะแรงงานเหล่านี้ เราควรปฏิบัติต่อแรงงานต่างด้าวอย่างมีมาตรฐานและสิ่งนี้เป็นการแสดงความมีศิวิไลซ์ของสังคมไทย การปฏิรูปเศรษฐกิจให้เกิดความเท่าเทียมจึงต้องเกี่ยวข้องกับการจัดการเรื่องทุนโดยเฉพาะทุนขนาดใหญ่ที่มีลักษณะผูกขาด ให้กลาย เป็นทุนที่แข่งขันกันอย่างเสรี เราต้องมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่อาศัยนวัตกรรมและขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น ไม่ใช่มีเพียงกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่อาศัยสัมปทานผูกขาดจากภาครัฐ ขณะเดียวกันต้องมีมาตรการทางภาษีในการแบ่งปันกำไรส่วนเกินมากระจายให้กับสังคมผ่านระบบสวัสดิการหรือการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจไปยังพื้นที่ยากจน

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...