“บิ๊กเต่า” แถลง จับอดีตเจ้าคณะฯ ยักยอกเงินวัด 4 ล้าน โอนเข้าบัญชีสีกาเศรษฐีนี

“บิ๊กเต่า” แถลง จับอดีตเจ้าคณะฯ ยักยอกเงินวัด 4 ล้าน โอนเข้าบัญชีสีกาเศรษฐีนี – เร่งขยายผลเส้นทางทุจริต

วันที่ 14 ส.ค.68 ที่อาคารกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้แถลงข่าวความคืบหน้าคดีอื้อฉาวที่สั่นสะเทือนวงการสงฆ์ กรณีอดีตเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ และอดีตเจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ มีพฤติกรรมยักยอกเงินของวัดร่วมกับสีกาผู้ใกล้ชิด รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 4 ล้านบาท

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่า คดีนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป. ได้รับข้อมูลเบื้องต้นจากพระลูกวัดนครสวรรค์ว่า มีการเบิกถอนเงินจากบัญชีวัด โดยไม่ได้มีการใช้จ่ายในกิจของสงฆ์ตามระเบียบ และสงสัยว่าเงินบางส่วนถูกโอนไปยังบัญชีบุคคลภายนอกที่มีความสัมพันธ์กับอดีตเจ้าอาวาส

การสืบสวนเชิงลึกพบว่า ระหว่างวันที่ 1 มีนาคม 2567 – 10 กรกฎาคม 2568 มีการเบิกถอนเงินจากบัญชีของวัดนครสวรรค์หลายครั้ง รวมเป็นเงินกว่า 4,100,000 บาท โดยอดีตเจ้าอาวาสสั่งการให้ พระศตยา พุ่มเดช ซึ่งเป็นพระลูกวัดและทำหน้าที่คล้ายเลขาส่วนตัว เป็นผู้ดำเนินการถอนเงินและโอนเข้าบัญชีของตนเองก่อนส่งต่อไปยังบัญชีของอดีตพระผู้ใหญ่

ต่อมา พบการโอนเงินจากบัญชีของอดีตเจ้าอาวาส เข้าบัญชีของหญิงสาวชื่อ นางสาวภูธินี กวินพิศาล อายุ 56 ปี รวมยอดกว่า 405,000 บาท ซึ่งเป็นเงินที่มาจากการยักยอกจากบัญชีวัดโดยตรง
ข้อมูลจากพระศตยาให้การว่า ตนได้รับคำสั่งโดยตรงจากเจ้าอาวาสให้ดำเนินการโอนเงิน รวมทั้งพบเห็น น.ส.ภูธินี เดินทางเข้ามาในวัดเป็นประจำ และมีพฤติกรรมใกล้ชิดกับอดีตเจ้าอาวาสในลักษณะ “ลึกซึ้ง” แม้ในช่วงที่ยังครองสมณเพศ

ภายหลังการสอบสวนรวบรวมหลักฐาน พนักงานสอบสวน บก.ปปป. ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ขออนุมัติหมายจับต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง 2 ราย โดยศาลอนุมัติหมายจับ ได้แก่ หมายจับเลขที่ 75/2568 ลงวันที่ 6 สิงหาคม 2568 ออกให้ นายสฤษฎ์ จันท์ประธาตุ หรือ “ทิดสฤษฎ์” อายุ 66 ปี อดีตพระธรรมวชิรธีรคุณ อดีตเจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ และอดีตเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ในข้อหา เป็นเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147
เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตามมาตรา 157

หมายจับเลขที่ 76/2568 ลงวันที่ 6 สิงหาคม 2568 ออกให้ น.ส.ภูธินี กวินพิศาล ในข้อหา
เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา 147สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157

เวลา 14.25 น. ของวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่สามารถจับกุม น.ส.ภูธินี ได้ที่บ้านญาติในจังหวัดปทุมธานี ขณะถูกควบคุมตัวมายัง บก.ปปป. เธอสวมหน้ากากอนามัย พยายามใช้แฟ้มเอกสารปิดบังใบหน้า และปฏิเสธตอบคำถามผู้สื่อข่าว โดยไม่ยืนยันหรือปฏิเสธข้อกล่าวหาใด ๆ

ขณะที่ นายสฤษฎ์ หรือ "ทิดสฤษฎ์" ซึ่งลาสิกขาเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้แจ้งผ่านทนายความว่ามีความประสงค์จะเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ในช่วงเย็นวันเดียวกัน หลังทราบว่าตนถูกศาลออกหมายจับ

ทั้งนี้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ได้ชี้ให้เห็นว่า คดีนี้มีความซับซ้อนทางการเงินและความสัมพันธ์ส่วนบุคคล จึงต้องดำเนินการตรวจสอบเชิงลึกเพิ่มเติม โดยขณะนี้พบพฤติกรรมต้องสงสัยจากบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องกับวัดเดียวกัน จากข้อมูลที่ได้รับ ยังมีอีกหลายเส้นทางการเงินที่ยังต้องขยายผล รวมถึงเงินจากโครงการในวัด เช่น โครงการพุทธอุทยาน ที่อาจมีการเบิกจ่ายผิดปกติ เราต้องรอผลสอบจากพนักงานสืบสวนก่อนให้ความชัดเจน

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยังระบุว่า เส้นทางการเงินในคดีนี้ไม่ได้ผ่านแค่บุคคลเดียว แต่มีการโอนเงินผ่านบัญชีของพระลูกวัด ลูกศิษย์ใกล้ชิด และบัญชีบุคคลภายนอก ซึ่งเชื่อว่ามีการวางแผนล่วงหน้าและมีเจตนาชัดเจน อดีตเจ้าอาวาสไม่ได้โอนเงินเองทั้งหมด แต่ใช้พระลูกวัดเป็นเครื่องมือ โดยให้เบิกจากบัญชีวัด ฝากเข้าบัญชีพระ แล้วโอนต่อเข้าบัญชีตัวเอง ก่อนกระจายไปยังบัญชีของหญิงสาวคนสนิทอีกทอดหนึ่ง

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงแนวโน้มการคัดค้านการประกันตัว พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่า เนื่องจากผู้ต้องหาแสดงความประสงค์เข้ามอบตัวเอง และให้ความร่วมมือในเบื้องต้น จึงไม่มีเหตุผลที่เจ้าหน้าที่จะคัดค้านสิทธิ์ในการประกันตัว แต่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพนักงานสอบสวนและพิจารณาของศาล

“ทิดสฤษฎ์แสดงความสำนึกผิด และสมัครใจเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ถือเป็นเรื่องที่ดี เราก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย”

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เน้นย้ำว่า ขณะนี้ตำรวจยังคงเดินหน้าสืบสวนขยายผลเชิงลึก เพื่อหาผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติม โดยเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องในระดับภายในวัด ทั้งพระภิกษุ และฆราวาส ที่อาจมีส่วนร่วมในกระบวนการเบิกจ่ายหรือรับผลประโยชน์จากเงินของวัด

“ เราได้เบาะแสถึงพระอีกหนึ่งรูปที่อาจมีความเชื่อมโยงกับคดีนี้ และยังต้องสอบสวนว่า มีการดำเนินการแบบนี้ในวัดอื่นอีกหรือไม่ เราไม่ได้มองแค่เรื่องของเงินอย่างเดียว แต่รวมถึงพฤติกรรมที่บ่อนทำลายศรัทธาของประชาชนต่อพระพุทธศาสนาด้วย ”