[บทความ] พักเงินไว้ไหนดี ? เมื่อมีเงินก้อน แต่ไม่อยากเสี่ยงสูง เปิดคัมภีร์บริหารสภาพคล่องยุคใหม่
ในยุคที่ข้าวของแพงขึ้นทุกวัน แต่ดอกเบี้ยเงินฝากกลับสวนทาง การเก็บเงินสดไว้ในบัญชีออมทรัพย์เฉย ๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับการปล่อยให้เงินของเราเริ่มด้อยค่าลงไปอย่างช้า ๆ เพราะอำนาจซื้อที่ลดลงจากพิษของเงินเฟ้อ
ทำให้แนวคิดการพักเงินแบบเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป และถึงเวลาแล้วที่เราต้องหันมาบริหารสภาพคล่องเชิงรุก มองเงินสดให้เป็นสินทรัพย์ที่ต้องจัดการเพื่อสร้างผลตอบแทนสูงสุด
บทความนี้จะพาไปเจาะลึกเครื่องมือทางการเงินสภาพคล่องสูงต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนคำถามจาก “จะพักเงินไว้ที่ไหนดี ?” ไปสู่การวางกลยุทธ์ว่า “จะจัดพอร์ตสินทรัพย์สภาพคล่องอย่างไรให้มีประสิทธิภาพที่สุด” เพราะแต่ละทางเลือกไม่ได้มีไว้ทดแทนกัน แต่สามารถผสมผสานเพื่อสร้างกลยุทธ์ที่ลงตัวกับเป้าหมายของแต่ละคนได้
โดยหัวใจสำคัญคือการสร้างสมดุลระหว่าง 3 ปัจจัย ได้แก่ ผลตอบแทน (Yield), สภาพคล่อง (Liquidity) และ ความเสี่ยง (Risk)
ทำไมการฝากเงินเดิมนั้นไร้ผล
ในทางกลับกัน การเก็บเงินสดไว้ในรูป ธนบัตร หรือใน บัญชีออมทรัพย์แบบดั้งเดิม ที่ให้ดอกเบี้ยต่ำเตี้ยติดดิน (ราว 0.25%-0.50%) ถือเป็นกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง
เพราะนอกจากผลตอบแทนจะเป็นศูนย์หรือน้อยนิดแล้ว ยังการันตีการสูญเสียอำนาจซื้อจากเงินเฟ้ออย่างแน่นอน การเลือกพักเงินในบัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ย 0.30% เทียบกับกองทุนรวมตลาดเงินที่ให้ผลตอบแทน 1.9% (ยกเว้นภาษี) กับเงินต้น 1,000,000 บาท เท่ากับคุณกำลังสูญเสียต้นทุนค่าเสียโอกาสไปถึง 16,000 บาทต่อปีเลยทีเดียว
E-Saving
สำหรับเงินส่วนใหญ่ที่ต้องการทั้งสภาพคล่องสูงและความปลอดภัย ตัวเลือกในกลุ่มนี้ถือเป็นแกนหลักของพอร์ต เริ่มจาก บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ดิจิทัล (E-Saving) ที่กลายเป็นสมรภูมิเดือดของธนาคารต่าง ๆ ซึ่งชูจุดเด่นด้านดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ
แม้บางแห่งอาจมีเงื่อนไขซับซ้อน แต่ก็ยังให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่น่าสนใจ และที่สำคัญคือมีสภาพคล่องสูงสุด สามารถทำธุรกรรมได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมความคุ้มครองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (DPA) สูงสุด 1,000,000 บาทต่อธนาคาร
กองทุนรวมตลาดเงินและตราสารหนี้ระยะสั้นของไทย
อีกหนึ่งตัวเลือกที่มืออาชีพนิยมใช้คือ กองทุนรวมตลาดเงินและตราสารหนี้ระยะสั้นของไทย ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่า E-Saving เล็กน้อย และมีข้อได้เปรียบสำคัญคือกำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุนได้รับการยกเว้นภาษี
สำหรับบุคคลธรรมดา ทำให้ผลตอบแทนสุทธิหลังหักภาษีมักจะสูงกว่าอย่างชัดเจน แม้จะต้องแลกมากับสภาพคล่องแบบ T+1 (ขายวันนี้ ได้เงินวันทำการถัดไป) แต่ก็เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเป็นกระสุนสำรอง รอจังหวะเข้าลงทุนได้อีกด้วย
กองทุน ETF พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้น
สำหรับนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูงขึ้นและมองหาผลตอบแทนในระดับโลก กองทุน ETF พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้น (เช่น SGOV) ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
ด้วยผลตอบแทนในรูปเงินสกุลเหรียญที่สูงราว 5% ต่อปี ตามทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดคือ “อัตราแลกเปลี่ยน” หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นก็อาจทำให้ผลตอบแทนลดลงหรือถึงขั้นขาดทุนได้เมื่อแลกกลับเป็นเงินบาท การลงทุนใน SGOV จึงมีมิติของการเก็งกำไรค่าเงินแฝงอยู่ด้วย
บัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศ (FCD)
เช่นเดียวกับ บัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศ (FCD) ที่ให้ดอกเบี้ยสูงในสกุลเงินเหรียญสหรัฐ แต่ก็มีความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม FCD จะทรงพลังที่สุดเมื่อใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงตามธรรมชาติ (Natural Hedge) สำหรับผู้ที่มีรายรับหรือรายจ่ายเป็นสกุลเงินเหรียญอยู่แล้ว เช่น ผู้ที่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนบุตรหลานในต่างประเทศ เพราะจะช่วยล็อกต้นทุนในสกุลเงินบาทได้โดยไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของค่าเงิน
บทความนี้เพียงชี้ให้เห็นว่า การบริหารสภาพคล่องเชิงรุกไม่ใช่เรื่องซับซ้อนเกินไป เพียงแค่ต้องเข้าใจบทบาทของแต่ละเครื่องมือและจัดสรรให้เหมาะกับเป้าหมาย โดยใช้ บัญชี E-Saving สำหรับเงินสำรองฉุกเฉินที่ต้องการสภาพคล่องสูงสุด และ กองทุนรวมตลาดเงิน สำหรับเงินทุนรอจังหวะลงทุนเพื่อผลตอบแทนหลังหักภาษีที่ดีกว่า
ส่วน SGOV และ FCD เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เข้าใจและยอมรับความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนได้ การหยุดพักเงินไว้ในที่ที่ให้ผลตอบแทนต่ำ ก็เท่ากับปล่อยให้ความมั่งคั่งถูกบั่นทอนลงทุกวัน ถึงเวลาแล้วที่จะปลุกเงินทุนของคุณให้ตื่นขึ้นมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีเป้าหมายที่ชัดเจน