“มาริษ” ฝากรัฐบาลใหม่ ยึดสันติวิธี รักษาอธิปไตย แก้ปัญหากัมพูชา
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวก่อนอำลาตำแหน่งถึงการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ผ่านมา ยืนยันว่า แนวทางในการแก้ปัญหา 2 ประเทศแบบทวิภาคี จะต้องเป็นไปอย่างสันติวิธี เคารพบูรณภาพแห่งดินแดน และจะต้องมีความตั้งใจจริงของทั้ง 2 ประเทศ
นายมาริษ ยังเชื่อว่า การเจรจาทวิภาคีในการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย จะไม่แตกต่างไปจากหลักการของรัฐบาลใหม่ ซึ่งเป็นหลักการที่ตนดำเนินการเรียกร้องกัมพูชามานั่งโต๊ะเจรจาทวิภาคี ตามข้อตกลง MOU43 ซึ่งกำหนดให้มีการแก้ปัญหาเส้นเขตแดน พื้นที่ทับซ้อน และลดความตึงเครียด ผ่านกลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC ไทย-กัมพูชา
ซึ่งท้ายที่สุดไม่ว่าอย่างไร ไทย-กัมพูชา ก็จะต้องเป็นเพื่อนบ้านที่มีแนวชายแดนอยู่ร่วมกัน ก็ควรอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ มุ่งฟื้นฟูความสัมพันธ์ เพื่อประชาชนทั้ง 2 ประเทศ เพราะการมีความสัมพันธ์ที่ดี จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ตนเชื่อมั่นว่า รัฐบาลใหม่มองประเด็นนี้เช่นเดียวกัน
นายมาริษ ยังกล่าวถึงกระแสการเมือง ที่บางพรรคการเมือง เมื่อเป็นรัฐบาลแล้ว สนับสนุน MOU43 แต่เมื่อเป็นฝ่ายค้านกลับเรียกร้องให้มีการยกเลิกว่า ในท้ายที่สุดแล้ว ผลประโยชน์ประเทศชาติ สำคัญกว่ากระแสการเมือง ส่วนตัวตนคิดว่า MOU43 เป็นประโยชน์ และตนก็ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของกระทรวง ซึ่งต่างเห็นพ้องผลประโยชน์เช่นกัน แต่เนื่องจาก ยังมีความเห็นที่ต่างกัน ก็จะต้องหาจุดยืนร่วมกันได้ให้
กรณีที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มีจดหมายแสดงความยินดีกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี จะถือเป็นความพยายามรื้อฟื้นความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา หรือเป็นไปตามมารยาททางการทูตนั้น สามารถเป็นไปได้ทั้ง 2 แนวทาง เพราะที่ผ่านมามาตรการทางการทูต และการทหารของไทย บรรลุความสำเร็จ สามารถกดดันให้กัมพูชายุติการรุกราน และหันกลับมาเจรจาทวิภาคี
ส่วนนโยบายด้านการต่างประเทศ ที่อยากจะฝากต่อรัฐบาลชุดใหม่ อยากให้คงหลักการสันติวิธี รักษาอำนาจอธิปไตย และเพิ่มช่องทางการพูดคุยทวิภาคีให้มากขึ้น รวมถึงการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างกัน แต่ทั้งหมด ก็ต้องขึ้นกับจังหวะเวลาที่ทั้งไทย-กัมพูชาจะพิจารณา