สินค้าปรับแต่งจีโนมดาวรุ่งพุ่งแรง “พาณิชย์” แนะไทยวางแผนผลิต เพิ่มโอกาสส่งออก
สนค.เผยการค้าสินค้าเกษตรและอาหารโลกกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ หลังเทคโนโลยีเกษตรยุคใหม่ ทั้งการปรับแต่งจีโนม (GEd) และเทคนิคจีโนมใหม่ (NGTs) มีการพัฒนาขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดหลายประเทศให้การย้อมรับ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ส่วนสหภาพยุโรปที่เดิมเคยเข้มงวด ก็เริ่มผ่อนคลาย ญี่ปุ่นเริ่มผลิตขาย ออสเตรเลียเริ่มทดลองปลูก จีนก็อนุญาตให้เพาะปลูก ส่วนไทยเริ่มวิจัย พัฒนา แนะไทยเร่งพัฒนา สร้างระบบตรวจสอบย้อนกลับ แยก NGTs ออกจาก GMO มั่นใจเพิ่มโอกาสผลิตและส่งออกได้แน่
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การผลิตและการค้าสินค้าเกษตรและอาหารโลกกำลังก้าวสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญผ่านการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมชีวภาพ โดยเฉพาะเทคโนโลยีการดัดแปลงพันธุกรรม (Genetically Modified Organism : GMO) เทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม (Genome Editing : GEd) และเทคนิคจีโนมใหม่ (New Genomic Techniques : NGTs) ซึ่งมีศักยภาพในการพลิกโฉมภาคเกษตรกรรมให้สามารถรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงทางอาหาร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการเพิ่มผลผลิตอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ โลกกำลังเดินหน้าสู่เกษตรกรรมและอาหารยุคใหม่ ด้วยเทคโนโลยีการดัดแปลงพันธุกรรมที่แม่นยำมากขึ้น อาทิ เทคนิค CRISPR/Cas9 ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ที่ได้มีการพัฒนาจากความรู้พื้นฐานทางด้านพันธุศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการศึกษาและงานวิจัยทางด้านพันธุวิศวกรรม ในการปรับปรุงและแก้ไขสารพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่มีความผิดปกติหรือต้องการการแก้ไข ภายใต้เทคโนโลยี GEd และ NGTs กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อภาคการผลิตพืชและอาหารทั่วโลก โดยเฉพาะในบริบทที่โลกกำลังเผชิญกับสภาพอากาศแปรปรวนและความต้องการอาหารที่เพิ่มสูงขึ้น
นายพูนพงษ์กล่าวว่า ปัจจุบันนานาประเทศ มีจุดยืนที่แตกต่างกันต่อเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม โดยเฉพาะเทคโนโลยีการดัดแปลงพันธุกรรม หรือ GMO และเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม หรือ GEd ซึ่งเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความมั่นคงทางอาหาร ความปลอดภัย และการยอมรับของสังคม โดยสหรัฐฯ เป็นผู้นำในการใช้พืช GMO ทั้งในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารอย่างกว้างขวางมาอย่างยาวนาน เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง และฝ้าย ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าเทคโนโลยี GEd ไม่จัดเป็น GMO หากไม่มีการนำพันธุกรรมจากสิ่งมีชีวิตต่างชนิดเข้าไป เช่นเดียวกับบราซิลที่มีนโยบายเปิดกว้างต่อ GMO มากที่สุด และมีกฎระเบียบที่แยก NGTs ออกจาก GMO อย่างชัดเจน หากไม่มีการใช้พันธุกรรมข้ามสายพันธุ์ ส่งผลให้บราซิลสามารถพัฒนาพืชสายพันธุ์ใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
ส่วนสหภาพยุโรป ยังคงมีจุดยืนที่เข้มงวดต่อ GMO มาโดยตลอด แต่ล่าสุดคณะกรรมาธิการยุโรปและรัฐสภายุโรปได้มีการพิจารณาเห็นชอบในหลักการและเสนอปรับกฎระเบียบ เพื่อผ่อนคลายข้อจำกัดสำหรับพืชที่ได้จากเทคนิค GEd และ NGTs โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่แทรกพันธุกรรมต่างสายพันธุ์ เช่น SDN-1 ซึ่งอยู่ระหว่างกระบวนการเจรจา เพื่อหาข้อสรุปและประกาศใช้เป็นกฎหมาย รวมทั้งญี่ปุ่น ที่มีแนวทางแบบสมดุล โดยอนุญาตให้นำเข้าและใช้พืช GMO บางชนิดเพื่อเป็นอาหารสัตว์และใช้ในอุตสาหกรรม เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง มันฝรั่ง ฝ้าย และแคนโอล่า แต่ไม่อนุญาตให้ปลูกเพื่อการบริโภคโดยตรง โดยญี่ปุ่นมีแนวทางการประเมินความปลอดภัยที่ยืดหยุ่นต่อเทคโนโลยี GEd โดยในหลายกรณี หากไม่แทรกพันธุกรรมต่างสายพันธุ์ ผลิตภัณฑ์อาจไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในหมวด GMO และสามารถวางจำหน่ายได้หลังผ่านการประเมินจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จและออกสู่ตลาดแล้ว เช่น มะเขือเทศที่มีสาร GABA สูง และปลาที่โตเร็วกว่าปกติ
ออสเตรเลีย อนุญาตให้ปลูกพืช GMO บางชนิดได้ ภายใต้การประเมินความปลอดภัยที่เข้มงวด เช่น แคนโอล่า GM ที่ได้รับอนุญาตตั้งแต่ปี 2546 และมีกฎหมายที่ระบุชัดเจนภายใต้การกำกับของสำนักงานกำกับดูแลเทคโนโลยียีน (Office of the Gene Technology Regulator: OGTR) ว่าเทคโนโลยี GEd ที่ไม่แทรกพันธุกรรมต่างสายพันธุ์ (เทคนิค SDN-1) อาจไม่ถูกจัดเป็น GMO และขณะนี้กำลังมีการทดลองข้าวสาลีที่ผ่านการปรับแต่งจีโนมเพื่อเพิ่มผลผลิตอีก 10% และคาดว่าจะวางตลาดได้ภายในปี 2571
ขณะที่จีน ได้เปลี่ยนท่าทีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเริ่มอนุญาตให้ปลูกข้าวโพด ถั่วเหลือง และฝ้าย GMO บางสายพันธุ์ พร้อมตั้งเป้าขยายพื้นที่ปลูกให้ครอบคลุมกว่า 21 ล้านไร่ ภายในปี 2568 และยังส่งเสริมการใช้ GEd อย่างชัดเจน โดยกระทรวงเกษตรและกิจการชนบทของจีน ได้อนุมัติพืชดัดแปลงพันธุกรรมด้วยเทคนิค GEd แล้วหลายสายพันธุ์ เช่น ข้าวสาลี และถั่วเหลือง
สำหรับไทย ปัจจุบันยังมีข้อห้ามปลูกพืช GMO ในเชิงพาณิชย์ แต่รัฐบาลได้เดินหน้าเชิงรุกภายใต้นโยบาย “Ignite Agriculture Hub” ล่าสุดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ออกกฎกระทรวง เรื่อง การรับรองสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาจากเทคโนโลยีปรับแต่งจีโนมเพื่อใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตร พ.ศ.2567 ซึ่งอนุญาตให้มีการทดลองและจดทะเบียนสิ่งมีชีวิตที่ผ่าน GEd ได้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีโครงการวิจัยในพืชเศรษฐกิจหลายชนิด เช่น ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย ถั่วเหลือง และกล้วย ถือเป็นก้าวแรกสู่การต่อยอดในเชิงพาณิชย์ในอนาคต ปัจจุบันมีโครงการทดลองภาคสนามของพืช GEd กว่า8239;6,000 โครงการ เพิ่มขึ้นจาก 4,100 โครงการในปี 2564 โดยโครงการส่วนใหญ่เน้นที่พืชต้านทานต่อสภาพภูมิอากาศและศัตรูพืช ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับประเทศที่เผชิญกับภาวะโลกร้อนโดยตรง รวมถึงไทย อินเดีย และแอฟริกา แต่ไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายด้านการกำกับดูแล การตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ที่โปร่งใส และที่สำคัญ คือ การสร้างการยอมรับและความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันยังมีความเข้าใจในวงจำกัดและมักสับสนระหว่างเทคโนโลยี GEd และ GMO ทั้งที่วิธีการและผลลัพธ์ที่ได้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“เทคโนโลยี GEd และ NGTs กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าการเกษตรและอาหารโลกอย่างแท้จริง ไทยต้องเร่งปรับตัวทั้งในเชิงนโยบาย การสื่อสารสาธารณะ และการลงทุนด้านการวิจัย เพื่อไม่ให้ตกขบวนรถไฟสายเทคโนโลยี และเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในตลาดโลกไว้ในระยะยาว โดยล่าสุดข้อมูลจากสหรัฐฯ ชี้ว่า ผู้บริโภคกว่า 60% พร้อมจะยอมรับสินค้า GEd หากมีข้อมูลด้านความปลอดภัยที่ชัดเจนและมีราคาสมเหตุสมผล ดังนั้น หากไทยสามารถวางระบบตรวจสอบย้อนกลับที่น่าเชื่อถือ มีการกำหนดฉลากที่เหมาะสม และออกแบบกฎหมายที่แยก NGTs ออกจาก GMO ได้อย่างชัดเจน ไทยจะเป็นประเทศที่มีศักยภาพอย่างมากในการเป็นฐานการผลิตและส่งออกพืช Gene-edited ที่มีมูลค่าสูงของภูมิภาคเอเชียสู่ตลาดโลก อาทิ ข้าว มันสำปะหลัง ผลไม้ และสมุนไพร ได้ในอนาคต”นายพูนพงษ์กล่าว
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO