ไขข้องใจ 'สินไหมกรุณา' ประกันจ่ายไหม? ในเหตุพิพาทไทย-กัมพูชา
ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร. ประมวล จันทร์ชีวะ อาจารย์พิเศษประจำคณะโลจิสติกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายพาณิชย์นาวี การขนส่ง และประกันภัย เขียนบทความเรื่อง "หลายประเด็นหลายมุมมองกับ War Risks and Ex gratia payment" โดยเนื้อหาระบุว่า
ปัจจุบัน ประเด็นปมขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชาจนถึงขั้นมีการใช้กำลังทหารและอาวุธ (armed force) ประหัตประหารกันทำให้เกิดความเสียหายต่อทั้งฝ่ายพลเรือนและทหารของทั้งสองประเทศ ได้กลายเป็นปัญหาที่วิพากษ์วิจารณ์กันเกี่ยวกับเรื่องความคุ้มครองข้อยกเว้นตามกรมธรรม์ประกันวินาศภัยจาก War Risks (“ภัยสงคราม”) และ การจ่ายสินไหมแบบ Ex gratia payment (“สินไหมกรุณา”) ซึ่งมีผู้ให้ความเห็นที่แตกต่างกัน
ภัยสงคราม (War Risks) ไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยเนื่องจากเป็นภัยที่มักปรากฏอยู่ในกรมธรรม์ประกันวินาศภัยและกรมธรรม์ประกันภัยทางทะเลที่ใช้กันเป็นสากล เมื่อพูดถึงภัยสงคราม ควรที่จะต้องทำความเข้าใจว่าภัยนี้ไม่ใช่ภัยโดดเดี่ยว แต่เป็นชื่อของกลุ่มของภัยที่มีลักษณะคล้ายกันหรือควรจัดอยู่ในกลุ่มภัยเดียวกัน เช่น สงคราม (ไม่ว่าจะได้มีการประกาศหรือไม่ก็ตาม) การรุกราน การกระทำของศัตรูต่างชาติ การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ หรือการปฏิบัติการเยี่ยงสงคราม และสงครามกลางเมือง
ประเทศไทยได้รับอิทธิพลของกลุ่มภัยนี้จาก War Risks Exclusion ที่ใช้อยู่ในต่างประเทศโดยผ่านทางรูปแบบของกรมธรรม์ประกันภัยทรัพย์สิน เช่น ABI Form ดังนั้น การที่จะทราบเจตนารมย์ที่แท้จริงของคำเหล่านี้จึงสามารถที่จะสืบรู้ได้โดยการเทียบเคียงกับต้นตอที่มาของคำเหล่านี้ที่นำมาจากภาษาอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม ภัยบางภัยในกลุ่มของภัยสงคราม ศาลต่างประเทศเคยใช้ความหมายของภัยนั้นตามพจนานุกรม ดังนั้น การหาความหมายตามพจนานุกรมของภัยในกลุ่มนี้จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะสืบทราบถึงความหมายและศาลฎีกาของไทยก็เคยใช้วิธีการนี้มาก่อนในการแปลความคำที่มีปัญหาในกรมธรรม์ประกันภัย เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2667/2544
คำว่า สงคราม (ไม่ว่าจะมีการประกาศหรือไม่ก็ตาม) ถ้อยคำที่ใส่ไว้ในวงเล็บนี้ได้รับอิทธิพลจากเหตุการณ์สงครามระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่นในเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นโจมตีอ่าว Pearl Harbor ในปี ค.ศ. 1941 โดยที่ไม่ได้มีการประกาศสงครามก่อน
การใส่ข้อความเช่นนั้นไว้ได้ช่วยสร้างความชัดเจนว่า สงครามที่ไม่ได้มีการประกาศสงครามก็ตกอยู่ในข้อยกเว้นและรวมถึง “การปฏิบัติการเยี่ยงสงคราม” ส่วน “การรุกราน” “การกระทำของศัตรูต่างชาติ” “การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์” มีความหมายที่กว้างขวาง
จนอาจกล่าวได้ว่าเหตุการณ์ที่มีผู้เรียกว่า “การปะทะระหว่างไทย - เขมร” ไม่อาจจะเรียกได้ว่าเป็น “การเยี่ยมเยียน” “การกระทำของมิตรต่างประเทศ” และ “การกระทำอันเป็นพันธมิตร”
แต่แท้จริงก็คือ “การรุกราน” “การกระทำอันเป็นปฏิปักษ์” และ “การกระทำของศัตรูต่างชาติ” ที่มีความมุ่งหมายส่วนหนึ่งที่จะบุกยึดดินแดนส่วนหนึ่งของผืนแผ่นดินไทยโดยใช้อาวุธสงครามและกองกำลังทหาร
ที่สำคัญก็คือ ข้อยกเว้นภัยสงครามมักจะนิยมใช้หลัก Causation ที่กว้าง คือ “ไม่ว่าจะเป็นผลโดยตรงหรือโดยอ้อม จากหรือเป็นผลสืบเนื่องจากหรือเกี่ยวเนื่องมาจาก……”
ในอีกมุมมองหนึ่ง แนวคิดที่จะขอให้มีการช่วยเหลือจากฝ่ายผู้รับประกันภัยเพื่อบรรเทาความเสียหายต่อผู้ประสบภัยในบริเวณที่เกิดเหตุตามความเหมาะสมและเท่าที่ควรจะทำได้ ก็เป็นสิ่งที่ดีและสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมส่วนหนึ่งของคนไทยที่เรามักจะช่วยเหลือกันในยามยากและการช่วยเหลือเช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในหลากหลายเหตุการณ์
อย่างไรก็ตาม การที่จะขอให้ผู้รับประกันภัยพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนในลักษณะที่เป็น Ex gratia payment (สินไหมกรุณา) อาจก่อให้เกิดประเด็นข้อกฎหมายว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายหรือไม่
ทั้งนี้เพราะ มาตรา 31 (11) พ.ร.บ.ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 บัญญัติห้ามไม่ให้บริษัทประกันภัย “ให้ประโยชน์เป็นพิเศษแก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย”
ทั้งนี้เพราะ Ex gratia payment ก็คือ “เงินที่ผู้รับประกันภัยจ่ายให้แก่ผู้เรียกร้องค่าเสียหาย แม้จะมีความเห็นว่าไม่ต้องรับผิดชอบตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยก็ตาม”
และในบางประเทศมีพจนานุกรมกำหนดความหมายของคำนี้ไว้ในลักษณะเดียวกันว่า เป็นการจ่ายเงินโดยผู้รับประกันภัยสำหรับการเรียกร้องที่ไม่อาจเรียกร้องได้ตามกฎหมายภายใต้กรมธรรม์ประกันภัย และตามกฎหมายไทย การกระทำความผิดตามมาตรา 31 (11) มีโทษทางอาญาตามมาตรา 88 ของกฎหมายฉบับเดียวกันโดยปรับไม่เกินห้าแสนบาท
ดังนั้น การช่วยเหลือของผู้รับประกันภัยจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้คำว่า Ex gratia payment หรือ สินไหมกรุณา