รถไฟฟ้า 20 บาท ทุกสี ทุกสาย ต้องมีบัตรแบบไหน ถึงใช้สิทธิได้ ?
เตรียมพร้อม “รถไฟฟ้า 20 บาท” ครอบคลุมทุกสี ทุกสาย 8 สายรถไฟฟ้า เปิดลงทะเบียนตั้งแต่ 25 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ผ่านแอป “ทางรัฐ” ต้องใช้บัตรอะไร แบบไหน ถึงแตะเข้า-ออกระบบรถไฟฟ้า รับสิทธิค่าโดยสาร 20 บาทได้ รวมรายละเอียดให้แล้ว ที่นี่
ตามที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในวันที่ 25 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป เตรียมเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนใช้สิทธิมาตรการอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาท (20 บาท ตลอดสาย) หรือมาตรการ “รถไฟฟ้า 20 บาท”
โดยเปิดให้ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น “ทางรัฐ” ภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย โดยจะต้องระบุเลขที่บัตรประชาชน 13 หลัก บัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรโดยสาร (Rabbit Card ที่ลงทะเบียน) ที่จะใช้งานกับระบบรถไฟฟ้า ซึ่งบัตรที่ได้รับการยืนยันการลงทะเบียนจะได้สิทธิการใช้มาตรการ รถไฟฟ้า 20 บาท โดยอัตโนมัติ หากไม่ลงทะเบียนจะต้องจ่ายค่าโดยสารในอัตราปกติ
โดยจะเริ่มมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ครอบคลุมโครงข่ายเส้นทางรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 8 สาย รวม 13 เส้นทาง ทั้งสิ้น 194 สถานี ระยะทางรวม 276.84 กิโลเมตร
บัตรแบบไหนใช้ได้บ้าง ?
สำหรับบัตรที่สามารถใช้งานเพื่อรับสิทธิมาตรการ รถไฟฟ้า 20 บาท ได้ จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน
บัตรแรบบิท (Rabbit Card)
บัตรแรบบิท (Rabbit Card) ที่สามารถลงทะเบียนร่วมมาตรการนี้ได้ ต้องเป็นประเภท ABT (Account-based Ticketing) หรือบัตรแรบบิทที่ผูกกับกระเป๋าเงิน แรบบิท วอลเลต (Rabbit Wallet) หรือกระเป๋าเงิน ไลน์ เพย์ (Line Pay) ครอบคลุมการใช้งานในระบบรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีทอง สายสีเหลือง และสายสีชมพู
โดยบัตรแรบบิท ที่เป็นประเภท ABT แล้ว จะสามารถเชื่อมต่อข้อมูลกับระบบเคลียริ่ง เพื่อการชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้า กรณีเดินทางข้ามสาย ตามมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาท ที่จะเริ่มขึ้นตั้งแต่ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ดี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 บัตรแรบบิทที่ใช้ลงทะเบียนรับสิทธิผ่านแอปทางรัฐ จะไม่สามารถใช้เที่ยวเดินทางจากแพ็กเกจได้
ทั้งนี้ ระบบ ABT (Account-based Ticketing) คือระบบของบัตรโดยสารที่มีการเก็บข้อมูล ประวัติการเดินทางไว้ในระบบเชิร์ฟเวอร์ ซึ่งทำให้สามารถตรวจสอบรายการโดยสารได้ด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชั่น หรือเติมเงินผ่านแอปพลิเคชั่นได้โดยตรง แตกต่างจากระบบ CBT (Card-based Ticketing) ที่ข้อมูลจะอยู่เฉพาะในบัตร ต้องอาศัยการแตะบัตรกับสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์ของสถานีรถไฟฟ้า เพื่อตรวจสอบข้อมูล รวมถึงการเติมเงินที่ต้องปรับมูลค่าบัตรที่เครื่องในสถานีรถไฟฟ้า
อ้างอิงข้อมูลจาก Facebook Wayfinding Bangkok
บัตร EMV
ขณะที่บัตร EMV ทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตร Prepaid หรือบัตรทราเวลการ์ด ที่หลาย ๆ คนคุ้นเคย ในปัจจุบันมีการใช้งานกับรถไฟฟ้ามากถึง 5 สาย คือ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สายสีม่วง สีเหลือง สายสีชมพู และรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง
โดยในโครงการรถไฟฟ้า 20 บาท ระยะที่ 2 จะครอบคลุมการใช้งานบัตร EMV ทั้ง 5 สายดังกล่าว ที่ใช้งานได้ในปัจจุบัน และจะเพิ่มการติดตั้งเครื่องรับบัตร EMV สำหรับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ เพื่อรองรับมาตรการดังกล่าวในอนาคต
วิธีสังเกต : สังเกตสัญลักษณ์รูปคลื่น คล้ายสัญลักษณ์ Wi-Fi ซึ่งจะมีอยู่บนหน้าบัตร หรือด้านหลังของบัตร หากมีสัญลักษณ์ดังกล่าว สามารถนำมาใช้งานในการแตะเข้า-ออกระบบรถไฟฟ้าได้
ทั้งนี้ บัตรดังกล่าวต้องเป็นไปตามรายละเอียดของธนาคารที่แต่ละผู้ให้บริการรถไฟฟ้ารองรับ
สำหรับบัตร EMV ที่สามารถใช้ได้ แบ่งได้ดังนี้
รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน, ม่วง, เหลือง, ชมพู
บัตรเครดิต : รองรับทุกธนาคาร ที่มีสัญลักษณ์ วีซ่า (VISA) และ มาสเตอร์การ์ด (Mastercard) และรองรับบัตรเครดิต ยูเนี่ยนเพย์ (UnionPay) เฉพาะธนาคารในประเทศไทยเท่านั้น โดยบัตรยูเนี่ยนเพย์ ที่รองรับในปัจจุบัน มีดังนี้
- บัตรเครดิตอิออน-ยูเนี่ยนเพย์ แพลทินัม
- บัตรเครดิตยูเนี่ยนเพย์ แพลทินัม ธนาคารกรุงเทพ
- บัตรเครดิต เคทีซี ยูเนี่ยนเพย์
- บัตรเครดิตไอซีบีซี (ไทย) ยูเนี่ยนเพย์
- บัตรกดเงินสด เคทีซี พราว ยูเนี่ยนเพย์
ทั้งนี้ บัตรเครดิต ยูเนี่ยนเพย์ ของธนาคารต่างประเทศ จะรองรับการใช้งานในอนาคต เป็นลำดับถัดไป
บัตรเดบิต : ปัจจุบัน รองรับการใช้งานเฉพาะบัตรเดบิต ธนาคารกรุงไทย (รวมถึงบัตร Krungthai Travel Card รุ่น Mastercard) และบัตรเดบิต ธนาคารยูโอบี (รวมถึงบัตรเดบิต TMRW)
ขณะที่ธนาคารอื่น ๆ ข้อมูลตามเว็บไซต์ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า ระบุว่า อยู่ระหว่างการพัฒนา โดยจะประชาสัมพันธ์ให้ทราบต่อไป
บัตร Prepaid : รองรับการใช้งานบัตรที่มีสัญลักษณ์ วีซ่า (VISA) และ มาสเตอร์การ์ด (Mastercard)
ตัวอย่างบัตร Prepaid ที่สามารถใช้งานได้ :
- บัตร Play ของเป๋าตังเปย์ (Paotang Pay)
- บัตร YouTrip Mastercard
- บัตร BigPay Visa Platinum
- บัตร Krungsri Boarding Card
อย่างไรก็ตาม ระบบรถไฟฟ้าในปัจจุบัน ยังไม่รองรับการใช้งานการแตะจ่ายด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น Apple Pay, Google Pay, Garmin Pay
รถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง (สีแดงเข้ม-สีแดงอ่อน)
สำหรับรถไฟฟ้าชานเมือง สายสีแดง สามารถแตะเข้า-ออกระบบรถไฟฟ้า ได้ทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตร Prepaid ของทุกธนาคาร ที่มีสัญลักษณ์ วีซ่า (Visa) มาสเตอร์การ์ด (Mastercard) เจซีบี (JCB) และ ยูเนี่ยนเพย์ (UnionPay)
ขั้นตอนลงทะเบียน รถไฟฟ้า 20 บาท
สำหรับการลงทะเบียน เพื่อรับสิทธิตามมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาท ที่จะเริ่มขึ้นในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ที่จะถึงนี้
จะต้องลงทะเบียนผ่านแอป “ทางรัฐ” ตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ไม่มีการจำกัดจำนวนสิทธิ และไม่มีกำหนดปิดลงทะเบียน โดยกรอกข้อมูลสำคัญ 2 อย่าง คือ หมายเลขบัตรประชาชน และข้อมูลบัตรที่จะใช้ชำระค่าโดยสาร เพื่อเป็นการยืนยันตัวตน ให้ระบบสามารถจัดการค่าใช้จ่ายระหว่างผู้ให้บริการที่ต่างกันได้
หากไม่ได้ลงทะเบียนรับสิทธิตามมาตรการ รถไฟฟ้า 20 บาท หรือไม่ได้ใช้งานบัตรที่ลงทะเบียนไว้ จะต้องจ่ายค่าโดยสารในอัตราปกติ
ทั้งนี้ ในเบื้องต้นหากประชาชนผู้ใช้บริการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าข้ามสาย จะต้องถือบัตร 2 ใบ แต่ชำระค่าโดยสารเพียง 20 บาทตลอดสายเท่านั้น ส่วนในระยะต่อไปจะนำเทคโนโลยีที่มีความเหมาะสมเข้ามาใช้ในการพัฒนาระบบ อาทิ การสแกนจ่ายด้วย QR Code สแกนจ่ายค่าโดยสาร เพื่อเพิ่มความสะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น
สำหรับวิธีการคิดค่าโดยสาร ตามมาตรการ รถไฟฟ้า 20 บาท มีเงื่อนไขหลัก คือ รถไฟฟ้าแต่ละสายคิดอัตราค่าโดยสารสูงสุด คือ 20 บาท กรณีมีการเปลี่ยนสายการเดินทาง เป็นสายที่ 2 ค่าโดยสารทั้งหมดจะจ่ายแค่ 20 บาท และกรณีอัตราค่าโดยสารไม่ถึง 20 บาท ให้เสียค่าบริการในอัตราปกติ
วิธีเก็บค่าโดยสาร รถไฟฟ้า 20 บาท
การเรียกเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย จากสถานีต้นทางจนถึงสถานีปลายทาง หน่วยงานผู้ให้บริการรถไฟฟ้าจะร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) ในการเตรียมระบบการตรวจสอบข้อมูลการเดินทาง (Trip) และคำนวณค่าโดยสาร (Fare) ให้เป็นไปตามเงื่อนไขทางธุรกิจ (Business Rules) เพื่อส่งข้อมูลการเดินทางให้แก่ผู้รับบัตร
โดยบัตร Mastercard and Visa ที่เป็นระบบ Contactless บริษัท ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ดำเนินการรวบรวมข้อมูล EMV Acquirer ส่วนบัตรโดยสาร Rabbit แบบ ABT บริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด (BSS) ดำเนินการรวบรวมข้อมูล Rabbit Acquirer ก่อนส่งให้ระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (Central Clearing House : CCH) โดยทำหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลและแจ้งยืนยันการเดินทางข้ามโครงข่ายของบัตร EMV และบัตรโดยสาร Rabbit ABT
กรณีที่ผู้โดยสารไม่ได้เดินทางเข้า-ออกบริเวณจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้า (Interchange) ผู้ให้บริการแก่ผู้รับบัตร (Acquirer) จะเรียกเก็บค่าโดยสารตามเงื่อนไขทางธุรกิจ (Business Rules) ที่กำหนดไว้
แต่หากเป็นกรณีที่ผู้โดยสารเดินทางเข้า-ออกบริเวณจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้า (Interchange) ที่กำหนดไว้ ข้อมูลการเดินทางจะถูกส่งไปที่ CCH เพื่อตรวจสอบข้อมูลการเดินทางข้ามโครงข่ายของผู้โดยสารตามเงื่อนไขทางธุรกิจ ก่อนแจ้งให้ผู้ให้บริการแก่ผู้รับบัตร (Acquirer) เรียกเก็บค่าโดยสารตามเงื่อนไขทางธุรกิจ (Business Rules) ที่กำหนดไว้
บัตร EMV ใช้ได้มากกว่าที่รถไฟฟ้า
นอกจากการใช้งานรถไฟฟ้า เพื่อเข้าร่วมมาตรการ รถไฟฟ้า 20 บาท แล้ว บัตรเครดิตและบัตรเดบิต ยังสามารถแตะเพื่อใช้งานระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ ได้ ทั้งรถเมล์ของ ขสมก. รถ บขส. (ไม่รวมรถร่วมเอกชน) และรถเมล์โดยสารในพื้นที่ต่างจังหวัดที่เปิดให้บริการชำระเงินแบบ Cashless (เช่น จังหวัดฉะเชิงเทรา) โดยรถเมล์ ขสมก. และรถเมล์อื่น ๆ ที่รับชำระ สามารถแตะเพื่อจ่ายค่าโดยสารได้ทันที ส่วนรถ บขส.สามารถใช้บัตรเพื่อจ่ายค่าโดยสารได้ที่จุดจำหน่ายตั๋ว
รวมถึงผู้ที่เดินทางด้วยรถยนต์และใช้ทางด่วนเป็นประจำ สามารถใช้บัตรเครดิตและบัตรเดบิตจ่ายค่าผ่านทางได้ทันที โดยรองรับทางด่วนของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) บริษัท ทางด่วน และรถไฟฟ้ากรุงเทพฯ (BEM) และบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (ดอนเมืองโทลล์เวย์) ดังนี้
- ทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้นที่ 1)
- ทางพิเศษศรีรัช (ทางด่วนขั้นที่ 2)
- ทางพิเศษอุดรรัถยา (บางปะอิน-ปากเกร็ด)
- ทางพิเศษประจิมรัถยา (ศรีรัช-วงแหวนรอบนอก)
- ทางพิเศษฉลองรัช
- ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์)
- ทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทลล์เวย์)
อ้างอิงข้อมูลจาก BEM, ดอนเมืองโทลล์เวย์, ธนาคารกรุงไทย
สำหรับการหักค่าใช้จ่าย เมื่อจ่ายค่าโดยสาร/่ค่าผ่านทางด้วยบัตรต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่จะหักเงินในทันทีที่แตะออกจากระบบรถไฟฟ้า หรือหักทันทีที่แตะ ณ ด่านผ่านทางพิเศษ ยกเว้นกรณีรถไฟฟ้า MRT ที่จะหักในช่วงประมาณ 02.00 น. ของวันถัดไป โดยเป็นการหักค่าโดยสารแบบรวมยอดค่าโดยสารที่เกิดขึ้นในวันนั้น
รู้จักเพิ่มเติม “บัตร EMV” พระเอก ‘รถไฟฟ้า 20 บาท’
สำหรับบัตร EMV ไม่ใช่บัตรประเภทใหม่ที่หลายคนอาจจะเข้าใจ แต่เป็นชื่อเรียกมาตรฐานความปลอดภัยของบัตรชำระเงิน
โดย EMV ย่อมาจากชื่อของ 3 เครือข่ายการชำระเงิน ได้แก่ Europay, Mastercard and Visa ซึ่งร่วมกันกำหนดมาตรฐานสำหรับการทำงานระหว่างกันของบัตรที่มี IC Chip เช่น บัตรเครดิต กับเครื่อง Terminal เช่น เครื่องรูดบัตร หรือตู้ ATM ซึ่งต่อมาบัตรเครดิตค่ายอื่น ๆ ก็เข้าร่วมเพิ่มขึ้น และพัฒนากลายเป็นมาตรฐานสากล (แตกต่างจากบัตรแถบแม่เหล็กแบบเดิม)
มาตรฐาน EMV จะกำหนดวิธีการติดต่อในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับกายภาพ ระดับการเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และระดับแอปพลิเคชั่น สำหรับธุรกรรมทางการเงิน จึงทำให้มีความปลอดภัยและใช้งานร่วมกันได้ทั่วโลก โดยองค์ประกอบสำคัญคือการมีข้อมูลดิจิทัลแบบพลวัตอยู่ในทุกธุรกรรม ทำให้ธุรกรรมลักษณะนี้มีความปลอดภัย ยากต่อการทำซ้ำ
มาตรฐาน EMV ทำหน้าที่เป็นแกนหลักของเทคโนโลยีด้านการชำระเงิน โดยจะทำให้ธุรกรรมผ่านบัตรและช่องทางชำระเงินต่าง ๆ มีความปลอดภัยสูงขึ้น ชาญฉลาดยิ่งขึ้น และไว้วางใจได้มากขึ้น และเมื่อผนวกกับเทคโนโลยี Contactless (การชำระเงินแบบแตะจ่าย) ทำให้การชำระเงินแบบไร้สัมผัสได้รับการปกป้องด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยหลายชั้น โดยไม่ต้องยุ่งยากกับเงินสดอีกต่อไป ด้วยการชำระเงินที่รวดเร็วและง่ายดาย เพียงแค่แตะเพื่อจ่ายเงินในทุกแห่งที่คุณเห็นสัญลักษณ์ Contactless
ระบบ EMV ช่วยเปลี่ยนโฉมการใช้งานระบบรถไฟฟ้า จากเดิมที่ต้องมีบัตรโดยสารของผู้ให้บริการแต่ละสายแยกกัน หรือต้องซื้อเหรียญ-ซื้อตั๋วโดยสารในแต่ละครั้ง เป็นการที่สามารถใช้งานบัตรเครดิต/บัตรเดบิต แตะเข้า-ออกระบบรถไฟฟ้าได้ทันที ลดการพกบัตรหลายใบได้ ซึ่งประเทศไทยมีการผลักดันสังคมไร้เงินสด ส่งเสริมการใช้จ่ายผ่านช่องทางดิจิทัล รวมถึงบัตรเดบิตมาตั้งแต่ปี 2559
ทั้งนี้ โดยทั่วไป บัตร EMV แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ดังนี้
1. บัตร EMV แบบ Contactless (แตะจ่าย)
บัตร EMV แบบ Contactless สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียบบัตรหรือรูดบัตร แต่ใช้วิธี “แตะ” กับเครื่องอ่านที่รองรับเทคโนโลยี NFC (Near Field Communication) เหมาะกับธุรกรรมมูลค่าน้อย เช่น การซื้อของในร้านสะดวกซื้อ หรือจ่ายค่ารถไฟฟ้า จุดเด่นคือความรวดเร็วและไม่ต้องสัมผัส
2. บัตร EMV แบบ Chip & Signature
แทนที่จะใช้รหัส PIN ผู้ใช้จะต้องเซ็นชื่อ เพื่อยืนยันตัวตนใน “ทุกธุรกรรม” เช่น เวลาใช้บัตรรูดที่ร้านค้า พนักงานจะตรวจสอบลายเซ็นบนใบเสร็จเทียบกับลายเซ็นที่ด้านหลังบัตร
3. บัตร EMV แบบ Chip & PIN
บัตรประเภทนี้จะต้องใช้ รหัส PIN (Personal Identification Number) ในการยืนยันตัวตนทุกครั้งที่มีการทำธุรกรรม เช่น การชำระค่าสินค้า หรือการถอนเงินผ่านตู้ ATM ระบบนี้ถือว่ามีความปลอดภัยสูง เนื่องจากผู้ถือบัตรต้องรู้รหัสลับจึงจะสามารถใช้งานบัตรได้
อ้างอิงข้อมูลจาก ธนาคารกรุงไทย
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : รถไฟฟ้า 20 บาท ทุกสี ทุกสาย ต้องมีบัตรแบบไหน ถึงใช้สิทธิได้ ?
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net