เตือนคนกรุง! ไม่แยกขยะจ่ายเพิ่ม 3 เท่า1 ส.ค. เปิดลงทะเบียน ได้สิทธิจ่ายถูก
เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง กทม. จึงปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมตามหลัก“ผู้ก่อให้เกิดขยะต้องจ่ายตามปริมาณที่ทิ้ง” หรือ“Pay As You Throw” (PAYT) โดยแบ่งกลุ่มผู้ชำระค่าธรรมเนียมออกเป็น3 ระดับตามปริมาณขยะที่ผลิตต่อวัน
แบ่ง 3 กลุ่มจ่ายค่าธรรมเนียม
สำหรับกลุ่มแรก คือสถานที่ที่มีขยะไม่เกิน 20 ลิตรต่อวัน หากไม่มีการคัดแยกขยะ จะต้องชำระค่าธรรมเนียมเดือนละ 60 บาท แบ่งเป็นค่าขนขยะ 30 บาท และค่ากำจัดขยะอีก 30 บาท แต่หากมีการคัดแยกขยะครบ 4 ประเภท ได้แก่ ขยะอินทรีย์ ขยะรีไซเคิล ขยะทั่วไป และขยะอันตราย จะได้รับสิทธิชำระค่าธรรมเนียมในอัตราลดเหลือเพียง 20 บาท
ต่อเดือน
ส่วนกลุ่มที่สอง ซึ่งมีปริมาณขยะเกิน 20 ลิตรแต่ไม่เกิน 1 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน จะถูกจัดเก็บในอัตรา 120 บาทต่อ 20 ลิตรต่อเดือน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 3 เท่า ขณะที่กลุ่มที่สามซึ่งเป็นอาคารขนาดใหญ่ เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม หรือตลาด ที่ผลิตขยะเกิน 1 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน จะถูกจัดเก็บค่าธรรมเนียม 8,000 บาทต่อ 1 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเพิ่มจากเดิมถึง 4 เท่า
ลงทะเบียน 1 ส.ค. ผ่านเกณฑ์เหลือ 20 บ.
ควบคู่กับข้อบัญญัติฉบับใหม่ จึงได้เปิดตัวโครงการ“บ้านนี้ไม่เทรวม: แยกขยะลดค่าธรรมเนียม” เพื่อสนับสนุนการคัดแยกขยะที่ต้นทาง โดยเปิดให้ประชาชนในกลุ่มที่1 ลงทะเบียนเข้าร่วมผ่านแอปพลิเคชัน“BKK Waste Pay” หรือ เว็บไซต์ ตั้งแต่วันที่1 สิงหาคม2568 เป็นต้นไป โดยหลังจากลงทะเบียนและยื่นหลักฐานการคัดแยกขยะครบทั้ง 4 ประเภท เจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และหากผ่านเกณฑ์จะได้รับสิทธิลดค่าธรรมเนียมเหลือ 20 บาทต่อเดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป
บ้านที่ได้รับสิทธิจะได้รับสติกเกอร์ “บ้านนี้ไม่เทรวม” ติดหน้าบ้านเพื่อแสดงสถานะการเข้าร่วมโครงการ พร้อมถุงขยะสีเขียวสำหรับใส่เศษอาหารฟรีเป็นเวลา 1 ปี ขณะที่ผู้ที่ลงทะเบียนแบบกลุ่ม เช่น หมู่บ้านจัดสรรหรือคอนโดมิเนียมที่มีนิติบุคคล จะได้รับถังขยะสีเขียวขนาด 100 ลิตรเพื่อรองรับการคัดแยกขยะอินทรีย์
ในระหว่างการเข้าร่วมโครงการ ระบบจะมีการสุ่มตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง หากพบว่าผู้ได้รับสิทธิไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการคัดแยกขยะตามที่กำหนด จะถูกระงับสิทธิเป็นระยะเวลา6 เดือน และต้องกลับไปชำระค่าธรรมเนียมในอัตรา 60 บาทตามปกติ นอกจากนี้ กรุงเทพมหานครยังได้จัดให้มีรถจัดเก็บขยะแยกประเภทเพิ่มขึ้น อาทิ รถเก็บขยะเศษอาหารเฉพาะ รถเก็บขยะอันตราย และรถประจำทางที่มีช่องแยกขยะ เพื่อรองรับการคัดแยกขยะอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรณรงค์ให้ประชาชนปฏิบัติตามหลัก 3Rs ได้แก่ ลดการใช้(Reduce) ใช้ซ้ำ(Reuse) และ รีไซเคิล(Recycle) เพื่อส่งเสริมแนวคิดซีโร่ เวส
ลดขยะได้วันละเป็นพันตัน
ข้อมูลจากการสำรวจของ กทม. ยังระบุว่า มีประชาชนให้ความสนใจลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า309,127 ครัวเรือน หรือประมาณ7 แสนคน คาดว่าจะช่วยลดปริมาณขยะได้มากถึง1,183 ตันต่อวัน โดยเฉพาะในกลุ่มสถานประกอบการขนาดใหญ่ หากสามารถลดปริมาณขยะจาก 5 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน เหลือเพียง 2 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน จะช่วยประหยัดค่าธรรมเนียมได้ถึง 2.4 หมื่นบาทต่อเดือน และยังเพิ่มรายได้จากการขายขยะรีไซเคิลอีกทางหนึ่ง
ขยะเศษอาหารที่ถูกคัดแยกแล้วจะถูกนำไปแปรรูปเป็นปุ๋ยหมัก ก๊าซชีวภาพ หรืออาหารสัตว์ เพื่อใช้ประโยชน์แทนการฝังกลบ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน ยังขยายพื้นที่โครงการ“มือวิเศษกรุงเทพ” เพื่อรองรับขยะพลาสติกที่คัดแยกได้ โดยจัดตั้งจุดรับขยะในสำนักงานเขตทั้ง 50 เขต สวนสาธารณะ 47 แห่ง และศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนนำขยะประเภท PET, HDPE, ฟิล์มยืด กล่อง UHT และพลาสติกอื่น ๆ มาคัดแยกและส่งต่อสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างเหมาะสม
โหลดแอปจ่ายจบ
สำหรับการชำระค่าธรรมเนียม ประชาชนสามารถดำเนินการผ่านแอปพลิเคชันBKK Waste Pay หรือชำระกับเจ้าหน้าที่จัดเก็บได้ตามช่องทางที่สะดวก โดยกรุงเทพมหานครได้ขยายช่องทางการสื่อสารผ่านเว็บไซต์หลัก สื่อโซเชียลมีเดีย และสถานีโทรทัศน์ รวมถึงสำนักงานเขต เพื่อสร้างความเข้าใจและให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อบัญญัติฉบับใหม่ได้อย่างทั่วถึง ก่อนมาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้.