กสทช. ร้อง ป.ป.ช. สอบ 4 กรรมการ ปมปลอมลายมือชื่อรเอกสารราชการ
22 ก.ค. 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แหล่งข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผย สำนักงาน กสทช. มีหนังสือถึง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอให้ดำเนินการสอบสวนกรรมการ กสทช. จำนวน 4 ราย และผู้ช่วยเลขานุการ 1 ราย กรณีมีพฤติการณ์เข้าข่ายปลอม และใช้เอกสารราชการปลอม
คณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง ระบุชัดว่า เอกสารราชการหลายฉบับ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเสนอมติการเชิญประชุมและการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. มีลายมือชื่อของกรรมการบางราย ที่ไม่ได้ลงนามด้วยตนเอง และ ไม่เป็นลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกต้อง
โดยคณะทำงานฯ รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า มีกรรมการ กสทช. จำนวน 4 ราย และผู้ช่วยเลขานุการ อาจกระทำความผิดตามกฎหมาย พร้อมกับเสนอแนะให้ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่
ต่อมาเมื่อ 29 พ.ย. 2567 สำนักงาน กสทช. ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ดำเนินการ ตาม ป.อาญา ฐานปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม ตาม ป.อาญา ม. 264 ประกอบ ม. 265, ม.268, ม. 161 และ ม. 157 และความผิดตาม พรป.ปปช. ม. 172
สำหรับผลการตรวจสอบลายมือชื่อ ปรากฎว่า มีรายงานผลพิสูจน์จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ระบุว่า พบการกระจายตัวของผงหมึกทั่วบริเวณลายเส้น จึงเป็นลายมือชื่อที่ไม่ได้เกิดจากการเขียนด้วยหมึกปากกา นอกจากนี้ยังมีการสอบพยานบุคคลภายใน กสทช. และมีการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) เกี่ยวกับการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์อีกด้วย
รายงานระบุว่า ETDA ยืนยันว่า ลายเซ็นดังกล่าว ไม่เข้าเกณฑ์ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ตามกฎหมาย
1.ไม่สามารถยืนยันตัวบุคคลผู้ลงชื่อ
2.ไม่แสดงเจตนาเจ้าของลายเซ็น
3.ไม่ใช่ช่องทางที่น่าเชื่อถือหรือระบบที่รับรอง
ที่สำคัญไม่ปรากฏว่า บุคคลที่ถูกอ้างชื่อในเอกสารได้เข้าใช้ระบบ e-Document ของ กสทช. เพื่อดำเนินการเลยแม้แต่ครั้งเดียว
จากการวิเคราะห์ทางกฎหมาย คดีนี้อาจเข้าข่ายความผิดหลายมาตรา ได้แก่ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 268 (ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม) มาตรา 161, 157 (เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ) พ.ร.ป. ป.ป.ช. มาตรา 172 (จริยธรรมร้ายแรงของเจ้าหน้าที่รัฐ)
ทั้งนี้ที่ผ่านมา ศาลฎีกาเคยตัดสินไว้ชัดเจนว่า แม้เจ้าของลายเซ็นจะอนุญาตให้ผู้อื่นลงชื่อแทน แต่กฎหมายไม่ให้เซ็นแทนกันได้ จึงถือว่าเป็น การปลอมเอกสารโดยสมบูรณ์