ท่องย่านเมืองเก่าอุบลฯ-ชมศิลปะสุดวิจิตรในวัด
“อุบลราชธานี” เป็นเมืองที่ท่องเที่ยวได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอย่างปรากฏการณ์แม่น้ำสองสี ความตระการตาของแก่งหินสามพันโบก การเดินป่ารับแสงแรกของวันท่ามกลางขอบฟ้าที่ผาชะนะได หรือการย้อนรอยประวัติศาสตร์ผ่านภาพเขียนสีโบราณที่ผาแต้ม รวมทั้ง อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของศิลปวัฒนธรรม ทั้งวัดวาอารามอันวิจิตร ย่านเมืองเก่าสุดคลาสสิกที่ชวนให้เดินเล่นแบบเพลิน ๆ พร้อมคาเฟ่เก๋ ๆ และร้านอาหารหลากหลายสไตล์ จะสายชิวหรือสายมู อิ่มจุใจแน่นอน
การเดินทางมาอุบลราชธานีในครั้งนี้ไม่พลาดทั้งไหว้พระขอพรเสริมสิริมงคลและตะลอนชิมของอร่อยให้หนำใจเลย เริ่มต้นกันที่ “ย่านเมืองเก่า” ตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลฯ พื้นที่เก่าแก่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของวันวาน ที่นี่ถนนหลายสายเชื่อมต่อไปยังแม่น้ำมูล ทำให้ในอดีตเคยเป็นศูนย์กลางการค้าทางเรือที่คึกคักสุดๆ ไม่ใช่แค่ชาวไทยเท่านั้น แต่ยังมีชาวจีน ชาวเวียดนาม และหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่รวมกันจนกลายเป็นชุมชนที่หลากหลายทางวัฒนธรรมแบบมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เดินทอดน่องไปตามถนนสายเก่า จะเห็นอาคารบ้านเรือนสไตล์คลาสสิกเรียงรายริมถนน บางหลังยังคงสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างไทย-จีน-ตะวันตกไว้อย่างลงตัว ลวดลายบนช่องหน้าต่างหรือระเบียงไม้ชวนให้นึกถึงบรรยากาศสมัยก่อนที่ย่านนี้เคยรุ่งเรืองในฐานะแหล่งค้าขายใหญ่ของเมือง
แม้เวลาจะเปลี่ยน ความเจริญขยับออกไปสู่ “เมืองใหม่” ที่อยู่ห่างออกไปราว 10 กิโลเมตร ทำให้เมืองเก่าเงียบเหงาลงบ้าง แต่ก็ไม่ได้สูญเสียเสน่ห์ไปเลย ยิ่งในช่วงเทศกาลแห่เทียนพรรษา ที่นี่กลับมาคึกคักสุดๆ เพราะเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของงานประเพณีระดับประเทศ ผู้คนหลั่งไหลมาเที่ยวชมกันอย่างไม่ขาดสาย
สิ่งที่ทำให้หลงรักย่านนี้อีกอย่าง คือการเดินเล่นเพลินๆ ท่ามกลางร้านค้าเก่าแก่ที่ยังคงเปิดอยู่ เช่น ร้านกรอบรูปโบราณ ร้านซ่อมรถ สภากาแฟในตึกคลาสสิก และร้านหนังสือการ์ตูนเก่า ที่ให้กลิ่นอายวันวานอย่างแท้จริง แต่ก็มีความสดใหม่ซ่อนอยู่ เพราะคนรุ่นใหม่เริ่มเข้ามาเติมชีวิตชีวา เปิดคาเฟ่ชิคๆ ร้านแฮนด์เมดน่ารักๆ หรือร้านอาหารสไตล์โมเดิร์นที่ตกแต่งแบบมินิมอลเข้ากับความคลาสสิกของอาคารในย่านนี้
มาถึงร้านแรก “หมูแดงที่จริงใจ” แค่เห็นชื่อก็อดใจไม่ไหว ต้องขอแวะชิม มาถึงปุ๊บก็จัดเมนูหมูแดงแบบไม่ลังเลสั่งแพ็คคู่มากับหมูกรอบให้จุใจไปเลย หมูแดงของที่นี่ไม่ธรรมดา เนื้อหนานุ่มเต็มคำ ต่างจากหมูแดงบางๆ ที่เคยกิน รสสัมผัสละมุนลิ้นสมชื่อว่า จริงใจ น้ำราดก็ให้มาแบบจัดเต็ม รสชาติเข้มข้นแต่ไม่หวานเลี่ยน และที่สำคัญทั้งหมูและน้ำราดเป็นสูตรพิเศษของทางร้าน ส่วนหมูกรอบก็ยังกรอบ แม้จะโดนน้ำราดหมูแดง ชอบตรงนี้ที่สุด ยิ่งกินคู่กับเกี๊ยวน้ำและต้มจับฉ่ายร้อนๆ คือเข้ากันอย่างลงตัวทีเดียว
แวะพักจิบกาแฟกันที่ร้าน “กาแฟฮะฮง” ร้านกาแฟโบราณในตำนานที่อยู่คู่ย่านเมืองเก่าอุบลฯ มาตั้งแต่ปี 2511 เดิมทีเคยตั้งอยู่หน้าวัดหลวง ก่อนจะย้ายมาเปิดร้านในทำเลปัจจุบัน ตัวร้านตกแต่งแบบเรียบง่ายแต่คลาสสิก ให้บรรยากาศอบอุ่นเหมือนสภากาแฟ ของคนท้องถิ่น ที่ใครแวะมาก็จะได้กลิ่นกาแฟหอมๆ อบอวล พร้อมไข่ลวกสักฟอง แล้วนั่งพูดคุย ชมบรรยากาศยามเช้าช้าๆ แบบไม่เร่งรีบ บางครั้งแค่ได้กาแฟถ้วยโปรดสักแก้ว ก็เหมือนได้หยุดเวลาไว้ชั่วครู่
เดินจากร้านกาแฟฮะฮง ลัดเลาะริมทางเดินมาจะเจอกับร้าน “Rila Thai Craft Chocolate” ถ้าใครเป็นสายช็อกโกแลต ต้องไม่พลาดร้านนี้ เพราะช็อกโกแลตทั้งหมดผลิตในโรงงานของทางร้านเอง โดยใช้เมล็ดโกโก้จากสวนประจำในแต่ละจังหวัด เช่น ของอุบลฯ จะมาจากแถบน้ำยืน ที่ขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพของเมล็ดโกโก้ เป็นต้น
สำหรับเมนูช็อกโกแลตมีให้เลือกถึง 5 ตัว ซึ่งแต่ละตัวมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวตามแหล่งปลูกจากจังหวัดต่างๆ ทั่วไทย เริ่มที่อุบลราชธานี ตัวนี้ทานง่ายที่สุด รสหวานละมุนกำลังดี เป็นเมนูขายดีประจำร้าน ต่อด้วยเชียงใหม่ ที่มาในโทนฟรุตตี้เบอร์รี รสเปรี้ยวสดชื่น เหมาะกับคนชอบรสจัดจ้าน ส่วนจันทบุรีจะเน้นความมันเป็นหลัก มีเปรี้ยวแซมนิดๆ ให้รสชาติลุ่มลึก แต่ไม่จี๊ดเหมือนเชียงใหม่ ใครชอบรสเข้มต้องลองนครศรีธรรมราช ขมไม่หวาน มีความเปรี้ยวปลายลิ้นเล็กน้อย ปิดท้ายด้วยประจวบคีรีขันธ์ ที่รสจะบาลานซ์ที่สุด ไม่หวาน ไม่ติดเปรี้ยว ออกโทนซินนาม่อน เข้มข้นแต่กลมกล่อมกว่าแบบนครฯ เล็กน้อย
นอกจากเครื่องดื่มช็อกโกแลตแท้ๆ แล้ว ที่นี่ยังมีเมนูไอศกรีมโฮมเมดที่หวานละมุน ขนมอบต่างๆ และอีกหนึ่งเมนูห้ามพลาดคือ โกโก้เบียร์ เครื่องดื่มรสเข้มที่ทำจากเนื้อโกโก้แท้ๆ ผ่านกระบวนการบดคล้ายกาแฟ ได้เท็กซ์เจอร์แบบเบียร์ รสขมเบาๆ มีกลิ่นหอมของโกโก้ และสัมผัสปลายลิ้นคล้ายชา ดื่มแล้วสดชื่นไม่เหมือนใคร
มาถึงอุบลฯ ทั้งที ได้กินของแซ่บ หนึ่งในร้านเด็ดที่อยากแนะนำคือ “ลาบคุณแหม๋ว” ร้านสไตล์วินเทจในย่านเมืองเก่าที่ทั้งบรรยากาศดีและรสชาติไม่ธรรมดา ตัวร้านตกแต่งสบายๆ มีที่นั่งทั้งชั้นล่างและชั้นบน เหมาะกับการนั่งกินชิลๆ ได้อารมณ์ตึกแถวคลาสสิก เมนูที่นี่มีให้เลือกหลากหลาย แต่ที่ต้องยกนิ้วให้เลยคือเมนูเนื้อ ไม่ว่าจะเป็น ข้าวผัดมันเนื้อ หอมมันจนต้องเบิ้ล, สาวญี่ปุ่น ที่แค่ชื่อก็ชวนสงสัยแต่รสชาติคือเด็ดจริง, เนื้อทอด ที่กรอบนอกนุ่มใน หรือ ซิ้นดาด ที่ย่างมากำลังดี เนื้อนุ่มละลายในปาก ไม่เหนียวเคี้ยวยาก ส้มตำของที่นี่ก็จัดจ้านถึงใจตามแบบฉบับอีสานแท้ๆ กินคู่กันคือดีงามแบบจบครบในมื้อเดียวรับรองอิ่มพุงกาง
เดินเล่นในเมืองชิวจนพอใจก็เลี้ยวเข้าวัดมหาวนาราม วัดแห่งนี้มีอายุกว่า 200 ปี เดิมชื่อว่าวัดป่าหลวงมณีโชติศรีสวัสดิ์หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าวัดป่าใหญ่ ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็นวัดมหาวนาราม ในปี พ.ศ. 2484 และได้รับการยกฐานะเป็นพระอารามหลวงเมื่อปี พ.ศ. 2521 ไฮไลต์ของวัดนี้คือ “พระเจ้าใหญ่อินทร์แปง” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่มีตำนานเล่าว่าเป็นองค์แทนสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระอินทร์จำแลงสร้างขึ้น รูปแบบเป็นพระปางมารวิชัย สง่างามด้วยหน้าตักกว้างถึง 6 ศอก และสูงถึง 10 ศอก สร้างจากอิฐถือปูนลงรักปิดทองอย่างวิจิตร
ทุกปีในวันเพ็ญเดือนห้า ซึ่งตรงกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ ชาวอุบลราชธานีและนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศจะเดินทางมาร่วมพิธี สรงน้ำพระเจ้าใหญ่อินทร์แปง ขอพรให้ชีวิตราบรื่น มีความสุขตลอดปี เป็นงานบุญที่อบอวลไปด้วยพลังศรัทธาและความอบอุ่นของชุมชน
มาถึงอีกวัดที่ วัดพระธาตุหนองบัว เป็นหนึ่งในวัดที่สะท้อนถึงความงามและประวัติศาสตร์แห่งศรัทธา วัดแห่งนี้มีความโดดเด่นในด้านสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะพระธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์ ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ในโอกาสครบรอบ 25 ศตวรรษของพระพุทธศาสนาในปี พ.ศ. 2500 เจดีย์นี้จำลองแบบมาจากเจดีย์ที่พุทธคยา ประเทศอินเดีย บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ บริเวณฐานเจดีย์มีขนาดกว้างด้านละ 5 เมตร สูงประมาณ 17 เมตร ขณะที่องค์พระธาตุที่ครอบองค์พระธาตุหลักมีขนาดกว้าง 17 เมตร สูงถึง 56 เมตร ลวดลายสีทองบนองค์พระธาตุสร้างความสง่างามและศักดิ์สิทธิ์
ด้านองค์เจดีย์มี รูปปั้นพญานาคฉัพยาปุตตะ หรือพญานาคสีรุ้งขนาดยักษ์ 2 องค์ คือ ท่านปู่กริชกรกต และท่านย่ามณีเกตุ ซึ่งถูกปั้นขึ้นอย่างประณีต และงดงามเลื้อยไปมาอย่างมีชีวิตชีวา และหากมาเยือนวัดพระธาตุหนองบัวในช่วงนี้ ยังมีโอกาสได้ชม เทียนพรรษาแกะสลักสุดวิจิตร ซึ่งเคยคว้ารางวัลชนะเลิศในปี พ.ศ. 2567 ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานศิลปะที่สะท้อนถึงความประณีตและความเชี่ยวชาญของช่างฝีมือท้องถิ่นของวัดนี้ด้วย
จุดหมายสุดท้ายในยามค่ำคืนเรามุ่งหน้าไปที่ วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อวัดเรืองแสง ตั้งอยู่บนภูเขาสูงในอำเภอสิรินธร แค่ได้ก้าวเข้าสู่วัด ก็รู้สึกเหมือนเดินเข้าสู่ความงดงามทางธรรมชาติที่มีพระอุโบสถกลางเขามองเห็นวิวอ่างเก็บน้ำและจุดผ่านแดนช่องเม็กได้กว้างไกล แต่สิ่งที่ทำให้ที่นี่โด่งดังไม่เหมือนวัดไหน ๆ ก็คือ จิตรกรรมต้นกัลปพฤกษ์เรืองแสง ด้านหลังพระอุโบสถ
เมื่อแสงอาทิตย์ลับฟ้า ต้นกัลปพฤกษ์บนผนัง และบนพื้นถูกแต่งแต้มคล้ายกับรากไม้อันงดงาม ประดับด้วยดอกไม้ จะค่อย ๆ เรืองแสง เป็นสีเขียวมรกตอ่อน ๆ บรรยากาศยามค่ำที่พระอุโบสถล้อมรอบด้วยความมืดช่างงดงาม ไม่แพ้ผู้คนที่หลั่งไหลมาชมหนาแน่นเลยทีเดียว ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมคือ ตอนเช้ามืดประมาณ 06.00 น. และ ช่วงหัวค่ำหลัง 19.30 น. ซึ่งแสงเรืองรองจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์จะเริ่มเปล่งประกายให้ชมอย่างอิ่มเอมใจ