ดูแลพ่อสามีมา 3 ปี จนใกล้สิ้นใจ วันที่บ้านสามีประกาศพินัยกรรม ทำสะใภ้แทบทรุด
ดูแลพ่อสามีตลอด 3 ปี ในวันที่พ่อสามีใกล้จากไป ครอบครัวสามีประกาศพินัยกรรม ทำสะใภ้แทบทรุด
เว็บไซต์ SOHA ได้เผยแพร่เรื่องราวของหญิงชาวเวียดนามรายหนึ่ง ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เธอรับหน้าที่ดูแลพ่อสามีที่ป่วยหนักจนแทบไปไหนไม่ได้ แม้จะเผชิญกับความเหน็ดเหนื่อยและความท้าทายมากมาย แต่เธอก็ไม่เคยย่อท้อ เพราะเชื่อว่าการดูแลผู้สูงอายุคือหน้าที่ของลูกสะใภ้ กระทั่งในวันที่พ่อสามีใกล้จากไป ทางครอบครัวได้มีการเปิดเผยพินัยกรรมที่สร้างความประหลาดใจให้กับเธออย่างมาก
หญิงสาวรายนี้ เล่าว่า "3 ปีก่อน พ่อสามีของฉันเกิดอัมพาต ครึ่งตัวลีบ ความทรงจำสลับกับความมึนงง ทุกคนต่างยุ่งกับงานและมีภาระของตัวเอง ส่วนฉันซึ่งเป็นลูกสะใภ้คนสุดท้อง และอยู่ด้วยกัน จึงรับหน้าที่ดูแลท่านเป็นหลัก
ในช่วงแรก ฉันยังไม่ชำนาญ ไม่รู้จะจัดการอย่างไรเมื่อต้องช่วยท่านเข้าห้องน้ำ หรือทำอาหารที่นุ่มและเคี้ยวง่าย เพราะฉันก็เป็นผู้หญิงที่มีความอ่อนไหวบางอย่าง บางครั้งเหนื่อยจนต้องนั่งลงบนพื้นเงียบ ๆ น้ำตาไหล
แต่เมื่อสบตาท่านที่ว่างเปล่า ฉันคิดว่า “นี่คือพ่อของฉันคนหนึ่ง” จึงตัดสินใจสู้ต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้
ตลอด 3 ปี ฉันแทบไม่ออกไปไหน ปฏิเสธนัดหมายหลายครั้ง ไม่มีเวลาดูแลตัวเองเลย วันหนึ่งตอนกลางดึก ท่านหายใจลำบาก ฉันต้องอุ้มท่านขึ้นแท็กซี่พาไปโรงพยาบาลคนเดียว เพราะสามีไปทำงานต่างจังหวัด ฉันจำไม่ได้เลยว่ากี่ครั้งที่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า นวดมือและเท้า พร้อมเล่าเรื่องให้ท่านฟังจนหลับ
จนวันหนึ่งสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ก็เกิดขึ้น พ่อสามีของฉันอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัดหลังจากเจ็บป่วยครั้งนั้น
วันนั้นครอบครัวทุกคนถูกเรียกกลับหลังโรงพยาบาลประกาศ “ปล่อยตัวผู้ป่วย” บรรยากาศในห้องผู้ป่วยเต็มไปด้วยความเศร้าและหนักหน่วง
มีทนายความถูกเชิญมา ฉันคิดว่าเรื่องพินัยกรรมคงเป็นเรื่องระหว่างลูกแท้ ๆ ของท่าน และที่สำคัญ พ่อแม่สามีของฉันก็ไม่ได้มีทรัพย์สินมากนัก
แต่เมื่ออ่านถึงตอนแบ่งทรัพย์สิน ฉันได้ยินอย่างชัดเจนว่า “บ้าน 3 ชั้นหลังปัจจุบัน และเงินฝากออมทรัพย์ 800 ล้านดอง (ประมาณ 1 ล้านบาท) จะมอบให้ลูกสะใภ้คนสุดท้อง ผู้ที่ดูแลฉันอย่างใกล้ชิดตลอดช่วงปีที่เจ็บป่วย”
Matthias Zomer
ฉันแทบช็อก น้ำตาไหลไม่หยุด ภาพความทรงจำจากครั้งที่ป้อนโจ๊ก คืนที่ไม่ได้นอน และวันที่พาผู้เป็นพ่อไปหาหมอท่ามกลางสายฝน วนเวียนในหัวเหมือนภาพยนตร์ที่ย้อนกลับมา ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะได้รับอะไร เพราะสำหรับฉัน การดูแลท่านคือหน้าที่ที่ต้องทำ
ฉันหันไปมองแม่สามี ท่านจับมือฉันไว้ พร้อมยิ้มอย่างอบอุ่นว่า “ลูกทำดี บ้านเราก็ไม่ทอดทิ้ง เงินทองเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ความรักความผูกพันต่างหากที่อยู่ยั่งยืน พี่ ๆ ของลูกต่างก็มีฐานะดี ไม่มีใครอยากแย่งชิง ทุกคนเห็นชอบตามความเห็นพ่อแม่”
ช่วงเวลานั้น หัวใจฉันอบอุ่นขึ้นมา ไม่ใช่เพราะบ้านหลังนั้นหรือเงินจำนวนมาก แต่เพราะฉันรู้ว่าตัวเองได้รับการยอมรับด้วยความจริงใจ
ฉันเข้าใจขึ้นมาอีกอย่างว่า ในครอบครัว บางครั้งสิ่งที่เรามอบให้ไม่ได้รับตอบแทนทันที แต่ถ้าเกิดจากใจจริง จะมีคนเห็นคุณค่าและจดจำไปตลอด
บ้านหลังนั้นยังคงเป็นที่ที่ฉันดูแลแม่สามี รักษาความทรงจำดี ๆ กับพ่อสามี และทุกครั้งที่มองรูปท่านบนโต๊ะบูชา ฉันรู้ตัวว่าได้ใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์ในฐานะลูกและสะใภ้แล้ว"