พลัง Gen Z ปลุก Monchhichi คืนชีพ! ฟื้นธุรกิจสู่ยุคทองอีกครั้ง
ใครจะเชื่อว่าท่ามกลางกระแสความคลั่งไคล้ 'Labubu' ที่ฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง จะมีตัวละครรุ่นเก๋าอย่าง 'Monchhichi' (มอนชิชิ) กลับมาผงาดในตลาดอีกครั้งได้อย่างน่าทึ่ง
ตามรายงานจาก Bloomberg ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนผ่านเรื่องราวของ Sam Todd อินฟลูเอนเซอร์สาวชาวออสเตรเลีย ที่เดินทางมาโตเกียวเพื่อตามล่าเสื้อผ้าวินเทจ
แต่อีกหนึ่งภารกิจลับของเธอกลับเป็นการตามหาพวงกุญแจมอนชิชิขนฟู จนในที่สุดเธอก็ได้พบ "ขุมทรัพย์" ที่ร้านของเล่นในย่านฮาราจูกุ ถึงกับต้องให้แฟนหนุ่มช่วยกันซื้อเพราะร้านจำกัดจำนวนต่อคน
"ความนิยมมันพุ่งขึ้นไม่หยุดเลยค่ะ ทุกคนเลยอยากมีไว้ในครอบครอง" อินฟลูเอนเซอร์สาวชาวออสเตรเลียกล่าวผ่านวิดีโอ TikTok ที่กลายเป็นไวรัล ซึ่งนับเป็นหนึ่งในเสียงยืนยันจากผู้บริโภคที่กำลังปลุกตำนานมอนชิชิให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
กระแสความนิยมของ "มอนชิชิ" ตุ๊กตาแบรนด์ดังจากญี่ปุ่น กำลังกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง เทียบเคียงได้กับยุคทองในทศวรรษ 1970 และ 1980 โดยมีเหล่านักช็อปอย่าง Sam Todd เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน
บริษัทเซกิกุจิ จำกัด (Sekiguchi Co.) ผู้สร้างสรรค์และเจ้าของลิขสิทธิ์ เปิดเผยว่า ยอดขายของมอนชิชิ ซึ่งมีเอกลักษณ์เป็นตุ๊กตาสัตว์ขนนุ่มลำตัวคล้ายลิงแต่ใบหน้าเหมือนเด็ก ได้พุ่งสูงขึ้นกว่าสองเท่าในปีงบประมาณล่าสุด (สิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2025) สร้างรายได้ถึง 4.6 พันล้านเยน (ราว 1 พันล้านบาท)
ที่น่าสนใจคือ ตลาดต่างประเทศเติบโตเร็วกว่าในญี่ปุ่น จนปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ถึง 40% ของยอดขายมอนชิชิทั้งหมด ทำให้บริษัทต้องเร่งเพิ่มกำลังการผลิตในจีน และพิจารณาขยายธุรกิจลิขสิทธิ์เพื่อต่อยอดความสำเร็จในครั้งนี้
"เราตั้งเป้าที่จะผลักดันให้มอนชิชิเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก" นายโทชิทากะ โยชิโนะ ประธานและซีอีโอของเซกิกุจิกล่าวปิดท้าย
การกลับมาของมอนชิชิเกิดขึ้นพร้อมกับกระแส 'Art Toy' ของเล่นสะสมที่กำลังฮิตติดลมบนในกลุ่มคนรุ่นใหม่ สังเกตได้จากความสำเร็จของแบรนด์ต่างๆ เช่น Sonny Angels, Smiskis, Jellycats และโดยเฉพาะลาบูบู้ (Labubu)
ที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าตลาดนี้มีกำลังซื้อมหาศาล ถึงขนาดมีการคาดการณ์ว่าตลาดพวงกุญแจห้อยกระเป๋าทั่วโลกจะมีมูลค่าแตะ 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2033 เลยทีเดียว
ย้อนกลับไปในปี 1974 มอนชิชิเคยสร้างปรากฏการณ์โด่งดังไปทั่วโลก เป็นไวรัลในยุคก่อนอินเทอร์เน็ต ถึงขั้นได้ร่วมงานกับ Mattel แต่กระแสก็แผ่วลงตามกาลเวลา
อย่างไรก็ตาม มอนชิชิได้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งในชนิดที่ว่าแข็งแกร่งกว่าที่เคย โดยมีจุดเริ่มต้นจากประเทศไทยและเกาหลีใต้
ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ช่วยจุดประกายให้มอนชิชิกลับมาอยู่ในความสนใจคือ ลิซ่า BLACKPINK ซึ่งเป็นผู้ที่เคยสร้างกระแสความนิยมให้กับตุ๊กตาลาบูบู้มาแล้วก่อนหน้านี้
ช่วงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ลิซ่า BLACKPINK ยังได้โพสต์ภาพตอนกำลังเลือกซื้อมอนชิชิ ผ่านสตอรี่อินสตาแกรม ยิ่งทำให้กระแสความนิยมพุ่งสูงขึ้นไปอีก
ถึงแม้จะนับเป็นข่าวดี แต่โยชิโนะ ทายาทผู้บริหารรุ่นที่สาม กลับยังคงสุขุมและไม่ประมาท เขายึดมั่นในปรัชญาที่ว่า ‘ของที่ขายดีในวันนี้ อาจขายไม่ออกในวันหน้า’
ด้วยเหตุนี้ แม้บริษัทจะเร่งกำลังการผลิต แต่เขากลับไม่ผลีผลามขยายกิจการ เพราะเข้าใจในวงจรของธุรกิจเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ บริษัทยังเคยเผชิญความท้าทายจากนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ในยุคโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งส่งผลให้ยอดสั่งซื้อจากตลาดหลักต้องหยุดชะงักไปพักหนึ่ง
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้มอนชิชิกลับมาแจ้งเกิดอีกครั้ง คือการที่เซกิกุจิตัดสินใจพลิกเกม หันมาเจาะตลาดกลุ่ม "ผู้ใหญ่" แทน "เด็ก" อย่างเต็มตัว คุณโยชิโนะให้มุมมองว่า
"ผู้ใหญ่มองมอนชิชิเป็นคาแรคเตอร์ที่สะท้อนตัวตน ไม่ใช่แค่ของเล่นเหมือนตอนเด็กๆ ทั้งยังมีความเข้าใจและมีกำลังซื้อมากกว่า" ซึ่งกลยุทธ์นี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ผ่านการคอลแลบส์กับแบรนด์ดังอย่าง Hello Kitty, สโมสรฟุตบอล Paris Saint-Germain และการเข้าไปวางขายในร้านไลฟ์สไตล์สุดเก๋อย่าง Urban Outfitters