คลื่นปฏิวัติวงการแบงก์ จ่อลดพนักงาน 30% ใน 5ปี หนีตายยุคดิจิทัล
สร้างแรงกระเพื่อมในวงการธนาคารพาณิชย์อีกครั้ง เมื่อธนาคาร กสิกรไทย(KBANK) จัดโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด ที่มีลักษณะเป็นการเฉพาะคราว ภายในปี 2568 ภายใต้ชื่อว่า โครงการ “เกษียณก่อน เกษมสุข” เพื่อให้โอกาสแก่พนักงานในการเปลี่ยนอาชีพที่เหมาะสมแก่ตนเองยิ่งกว่า
ทั้งนี้ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)พบว่า ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ(28แห่ง) ไตรมาส2 ปี2568 มีจำนวนรวม 42,698 ล้านบาท ลดลง 1,091ล้านบาทหรือ 2.5% จากไตรมาส 1 อยู่ที่ 43,789 ล้านบาท แต่เพิ่มขึ้น 844 ล้านบาทหรือ 2.50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี2567 อยู่ที่ 41,854 ล้านบาท
ขณะที่พนักงานมีจำนวน 123,378คน ลดลง 929คนหรือ 0.74% จากไตรมาส1 อยู่ที่ 124,307 คนและลดลง 3,142 คนหรือ 2.50% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อนมีพนักงาน 126,553 คน
หากย้อนหลังช่วง 5ปีที่ผ่านมา (ปี2562-2567) ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานธนาคาพาณิชย์ปรับลดลงต่อเนื่องต่อเนื่อง โดยณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ 170,004 ล้านบาท ลดลง 5,063 ล้านบาทหรือ 2.89% จาก 175,067 ล้านบาทเทียบกับสิ้นปี 2562
ขณะที่จำนวนพนักงานสิ้นปี 2567 มีจำนวน 126,742 คน ลดลง 23,726 คน หรือคิดเป็นการลดลงในอัตรา 15.76% เทียบจาก 150,468 คน เมื่อสิ้นปี 2562
แหล่งข่าวระดับสูงจากสถาบันการเงินเปิดเผย“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ความพยายามปรับลดต้นทุนหรือปรับโครงสร้างของธนาคารในระบบเป็นการตอบโจทย์ที่ท้าทาย 3เรื่องคือ
- ใน 2-3ปีข้างหน้า แนวโน้มรายได้และกำไรของธนาคารต้องลดลงแน่นอน เพราะทิศทางดอกเบี้ย ขาลงและอุตสาหกรรมธนาคารจะล้อไปกับแนวโน้มเศรษฐกิจ ซึ่งสัญญาณหนี้เอ็นพีแอลยังทยอยเพิ่มและผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐ
- ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาหรือ Virtual BANK ที่กำลังจะมา 3ราย ก็เป็นตัวเร่งให้ธนาคารในระบบต้องปรับตัวอย่างเข้มข้นขึ้น รวมถึงลดต้นทุนให้เร็วขึ้นและปรับโครงสร้าง เพื่อรองรับกับการแข่งขัน ซึ่งที่ผ่านมาทุกธนาคารก็ไม่จ้างคนใหม่เพิ่ม ถ้าไม่จำเป็น
- โครงการ “Your Data” ซึ่ง ธปท.ผลักดันให้ผู้ใช้บริการที่อยู่นอกภาคการเงินสามารถแชร์ข้อมูลหรือใช้สิทธิส่งข้อมูลในช่วงครึ่งหลังของปี2569 โดยตอนนี้เป็นการแชร์ข้อมูลระหว่างธนาคาร ซึ่งมีการคิดค่าธรรมเนียมเล็กน้อยแต่ผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์
“ตอนนี้กลุ่มแบงก์ สามารถแชร์ KYC กรณีต้องการเปิดบัญชีกับแบงก์ B แต่เดิมมีข้อมูลอยู่กับแบงก์ Aแล้ว ซึ่งทางแบงก์B จะขอยืม KYC ของแบงก์ A เพื่อเปิดบัญชีหรือเปิดแอปกับแบงก์ B โดยลูกค้าสามารถให้ความยินยอมหรือ Consent เพื่อนำข้อมูลจากอีกแบงก์ ซึ่งนอกเหนือจากประวัติทางการเงินแล้ว ยังรวมถึงข้อมูลการการใช้น้ำใช้ไฟหรือแม้กระทั่งฐานภาษีด้วย”
ดังนั้น เมื่อ Your DATA และ Virtual BANK มา ลูกค้าสามารถหนีไปที่ไหนก็ได้ เป็นการทำลายกำแพงแบรนด์ ไม่ว่าสีเขียว สีม่วง สีน้ำเงิน สีเหลืองคือ การแชร์ DATA กันหมดจะไม่มีสาขา เพราะเป็นแมสสามารถทำบนมือถือ ยกเว้นลูกค้าเวลธ์ /ลูกค้าไพรเวท ที่อาจจะใช้บริการที่สาขา ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็มีไม่ถึง 10%
สอดคล้องกับแหล่งข่าวอีกรายขยายภาพเพิ่มเติมว่า เทรนด์ข้างหน้ามีความท้าทายทั้งปัจจัยภายนอก เช่น เศรษฐกิจโลก ภูมิรัฐศาสตร์ และปัจจัยภายใน ซึ่งอุตสาหกรรมธนาคารหลักๆ จะไปพร้อมกับเศรษฐกิจ แต่เศรษฐกิจไทยตอนนี้ยังไม่เห็นแสง Key Driver ทำให้เศรษฐกิจเติบโตเต็มศักยภาพ อย่างปีนี้ คาดการณ์เศรษฐกิจจะโตแค่ 2%
“สาเหตุหลักที่กำไรกลุ่มแบงก์ยังดูดี เหมือนไม่มีแรงกดดดันตอนนั้น เพราะฝั่งแบงก์อั้นการส่งผ่านดอกเบี้ยนโยบาย เช่น คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ลดดอกเบี้ย 0.25% แต่ฝั่งแบงก์จะลดดอกเบี้ยเงินฝากแรงกว่าเงินกู้ หรือลดดอกเบี้ยเงินกู้ช้า เพราะฉะนั้นแบงก์จึงยังได้รับอัตราผลตอบแทนที่เป็นดอกเบี้ยที่แบงก์ชาติเรียก “การส่งผ่านนโยบายที่ค้างท่อ”ตรงนี้คือ กำไรของแบงก์อยู่”
ดังนั้นแนวโน้ม 3ปีข้างหน้า มีโอกาสจะเห็นธนาคารพาณิชย์ปรับลดพนักงาน 15-20% ส่วนแนวโน้ม 4- 5ปีข้างหน้า ก็มีโอกาสเห็นกลุ่มธนาคารปรับลดคน 30% ขึ้นไปหรืออาจจะเห็นอัตราเร่งตัวกว่า คือช่วง 4-5ปี ส่วนตัวเคยเห็น ว่า บางธนาคารปรับลดคน 6,000 คนหรือคิดเป็น 30% จาก 2.2 หมื่นคนลดเหลือ 1.7 หมื่นคน
ด้านน.ส.ธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ค่าใช้จ่ายพนักงานของธนาคารพาณิชย์ปรับตัวมาต่อเนื่องในรอบ 10ปี โดยเฉพาะหลังโควิดที่กำไรค่อนข้างนิ่ง ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย(NIM)แข่งขันได้ยากขึ้น ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ในระบบปรับตัวลดค่าใช้จ่าย หลักๆมาจากค่าใช้จ่ายพนักงานและลดสาขา/ย้ายจุดให้บริการ
ในแง่ค่าใช้จ่ายพนักงานต่อจำนวนพนักงานช่วง 3ปีหลังนิ่งๆ ประมาณ 1.3 ล้านบาทต่อคนสูงกว่าปี 62-64 อยู่ที่ 1.2-1.1ล้านบาท สาเหตุจากการมีสวัสดิการสังคมหรือแคมเปญเฉพาะเข้ามาชดเชย ทำให้เทรนด์การลดพนักงานของธนาคารระยะหลังไม่เร่งตัวนัก เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น
โดยจะเน้นเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนและหาโอกาสธุรกิจใหม่ ซึ่งเป็นการทำต่อเนื่อง รวมถึงการ Up-Skill พนักงานสาขาหรือพนักงานที่เหลือ หลังจากลดสาขา/ย้ายจุด-ลดขนาดจุดให้บริการ เพื่อทำในสิ่งที่ยากขึ้นได้ เช่น ที่ปรึกษา/แนะนำการลงทุน ดังนั้นค่าใช้จ่ายต่อหัวและสาขาจะแพงขึ้นในช่วง 3ปีหลัง
ส่วนอัตราการลดคนจะไม่เร็วเหมือนเมื่อก่อน และไม่ได้ลดตามทันที เน้นใช้วิธีอัพเกรดหรืออัพสกิลให้กับพนักงานที่เหลือหรือพนักงานสาขา แม้จะปรับลดต้นทุนต่อหน่วยไม่ได้มากหรืออาจขยับขึ้นในช่วง 3ปีหลัง เพราะจำนวนสาขาเท่าเดิม แต่ด้วยต้นทุนคนที่แพงขึ้น (คนที่เก่งขึ้น ทั้งคนใหม่ หรือการอบรม/ฝึกทักษะคนที่เหลือให้ทำงานที่ยากขึ้นได้มากขึ้น)
นอกจากนี้ ธนาคารในระบบจะดำเนินงานคู่ขนานกันระหว่างการฝึกพนักงานที่มีอยู่กับการลงทุนด้านเทคโนโลยี ซึ่งมีต้นทุนสูง ดังนั้นพนักงานรุ่นใหม่จะมีกลุ่มทดลองให้ AI หรือตอนนี้ที่ใช้ ChatGPT แต่หากมีความซับซ้อนอาจจะต้องใช้คนเฉพาะเพื่อหาโอกาสธุรกิจหรือประเมินความเสี่ยงที่เร็วขึ้น เช่นการใช้ DATA Science
นางสาวธัญญลักษณ์กล่าวเพิ่มเติมว่า มองไปในอนาคต ธนาคารพาณิชย์ไทยจะมีนวตกรรมเข้ามาช่วย โจทย์ในเรื่องการทำสำรอง (หนี้เสีย )เกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ ซึ่งอาจจะหาข้อมูลจากแหล่งอื่น เช่น เทลโก้ หรืออแพพลิเคชั่นหรือการออม การลงทุน ซึ่งอนาคตอาจจะขอข้อมูลกับหน่วยงานอื่นด้วย
ในแง่ของประชาชนต้องดูแลข้อมูลส่วนตัวที่ดี แสดงถึงประวัติการใช้เจ่ายทางการเงิน ซึ่งสะท้อนเครดิตของบุคคล ซึ่งเพื่อลดต้นทุนธนาคารยังทำเรื่องนี้อย่างต่อเนื่องด้วยเพื่อให้ฐานข้อมูลมีความแม่นยำ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,127 วันที่ 31 สิงหาคม - 3 กันยายน พ.ศ. 2568