โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ตำนานหนี้เขย่าโลก ปิดฉากหุ้น "Evergrande" ยักษ์ใหญ่ล้มสะเทือน ตัวจุดชนวนวิกฤติอสังหาฯจีน

TNN ช่อง16

เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว
ตำนานหนี้เขย่าโลก ปิดฉากหุ้น

หุ้น "Evergrande" ของอดีตบิ๊กอสังหาริมทรัพย์ของจีน "China Evergrande Group" ถูกถอดออกจากตลาดฮ่องกงอย่างเป็นทางการแล้ว

ยักษ์ล้มที่แท้จริง ปิดฉากลงอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ Evergrande (เอเวอร์แกรนด์) จากวันที่รุ่งเรือง ด้วยมูลค่าตลาดกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท สู่วันที่ล่มสลายไร้มูลค่า แถมยังเป็นต้นตอฉุดรั้งเศรษฐกิจจีนมาจนถึงทุกวันนี้ สาเหตุสำคัญ คือ วิกฤตหนี้ จนกลายเป็นบริษัทเอกชนที่มีหนี้สูงที่สุดในโลก 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 10 ล้านล้านบาท

ก่อนหน้านี้หุ้นเอเวอร์แกรนด์ได้ถูกระงับการซื้อขายในตลาดหุ้นมาตั้งแต่เดือนมกราคมปีที่แล้ว หลังศาลฮ่องกงมีคำสั่งให้บริษัทเข้าสู่กระบวนการชำระบัญชี หลังจากการเจรจาปรับโครงสร้างองค์กรหลายปีนั้นล้มเหลว

กระทั่งล่าสุดตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงประกาศเมื่อสัปดาห์ก่อนว่าจะเพิกถอนการจดทะเบียนของเอเวอร์แกรนด์ในตลาดหลักทรัพย์ในวันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม 2568 เพราะเอเวอร์แกรนด์ไม่สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำของตลาดหลักทรัพย์ในการทำให้กลับมาทำการซื้อขายหุ้นได้อีกครั้งภายใน 18 เดือน และก่อนหน้านั้นเอเวอร์แกรนด์ก็ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อตลาดโลก จากการที่ผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ต่างประเทศเมื่อปี 2564 (2021)

ผู้เชี่ยวชาญอย่างนายตัน หวัง ผู้อำนวยการฝ่ายจีนของยูเรเซีย กรุ๊ป บริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยง กล่าวว่า การถูกถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และถือเป็นการสิ้นสุด ที่สำคัญ เมื่อถูกเพิกถอนไปแล้ว จะไม่มีทางกลับมาได้อีก

"เอเวอร์แกรนด์" ชื่อนี้ไม่มีใครลืม เพราะถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ ที่มาฉุดรั้งเศรษฐกิจจีนให้ต้องตกต่ำมานานหลายปี เป็นตัวอย่างของปาฎิหาริย์ในความสำเร็จ ก่อนที่จะดิ่งเหวไปสู่เส้นทางแห่งความล้มเหลวที่ไม่มีใครคาดคิด

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ โดยไม่กี่ปีที่ผ่านมา "Evergrande Group" เคยถูกยกเป็นตัวอย่างความสำเร็จของปาฏิหาริย์เศรษฐกิจจีน ผู้ก่อตั้งเอเวแกรนด์ "ฮุ่ย ก๋าเหยียน" (Hui Ka Yan) เริ่มต้นธุรกิจจากในพื้นที่ชนบทของจีนก่อนที่ประสบความสำเร็จผงาดขึ้นแท่นเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชียจากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ ในปี 2560 ด้วยทรัพย์สินกว่า 45,000 ล้านดอลลาร์ แต่ปัจจุบันทรัพย์สินเหลือไม่ถึง 1 พันล้านดอลลาร์

และเมื่อปีที่แล้วช่วงเดือนมีนาคม 2567 เขาถูกปรับ 6.5 ล้านดอลลาร์ และถูกแบนจากตลาดทุนจีนตลอดชีวิต หลังถูกพบว่า Evergrande ปลอมแปลงรายได้เกินจริงกว่า 78,000 ล้านดอลลาร์ ปัจจุบันผู้ชำระบัญชีกำลังตรวจสอบว่าจะสามารถยึดทรัพย์สินส่วนตัวของเขามาชำระหนี้ได้หรือไม่

Evergrande (เอเวอร์แกรนด์) ก่อตั้งในปี 1996 (2539) บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วในยุคที่รัฐบาลจีนสนับสนุนการก่อสร้างที่อยู่อาศัย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเร่งขยายตัวเมือง ภายในเวลาไม่ถึง 20 ปี Evergrande สามารถขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โครงการกระจายอยู่กว่า 200 เมือง และมีบ้านขายไปแล้วนับล้านหน่วย

รายได้หลักมาจากการขายบ้านล่วงหน้า (pre-sale) ซึ่งกลายเป็นโมเดลธุรกิจมาตรฐานของผู้ประกอบการจีน คือ เก็บเงินจากผู้ซื้อก่อน แล้วนำไปหมุนเวียนใช้ก่อสร้างหรือซื้อที่ดินใหม่เพื่อขยายโครงการต่อเนื่อง การขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้ทำให้ เอเวอร์แกรนด์ ต้องใช้หนี้เป็นเครื่องมือหลัก โดยช่วงสูงสุดบริษัทมีภาระหนี้รวมมากกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 10 ล้านล้านบาท นับเป็นบริษัทเอกชนที่มีหนี้สูงที่สุดในโลก

กฎ “สามเส้นแดง” Three Red Lines จุดเปลี่ยนอสังหาฯจีน

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เกิดขึ้นในปี 2020 (2563) เมื่อทางการจีนออก กฎ “สามเส้นแดง” Three Red Lines

เพื่อมาควบคุมความเสี่ยงด้านหนี้สินของผู้พัฒนาอสังหาฯ กำหนดตัวชี้วัด 3 ด้าน

ได้แก่

1. อัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์

2. อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น

3. อัตราส่วนกระแสเงินสดต่อหนี้สิน

ทั้งหมดนี้เพื่อมาจำกัดการก่อหนี้ของผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่ หากบริษัทใดไม่ผ่านเงื่อนไข จะถูกจำกัดการกู้ยืมใหม่ นโยบายนี้มีเจตนาลดความร้อนแรงของตลาดอสังหาฯ แต่กลับส่งผลให้ เอเวอร์แกรนด์ซึ่งพึ่งพาหนี้มหาศาล ถูกตัดแหล่งเงินทุนทันที ดังนั้นบริษัทจึงต้องเร่งลดราคาอสังหาฯ เพื่อให้เงินสดหมุนเวียน แต่ก็ยังผิดนัดชำระหนี้ต่างประเทศ

และนับตั้งแต่นั้น ปัญหาก็เริ่มปะทุ เอเวอร์แกรนด์ไม่สามารถหมุนเงินมาชำระหนี้และเดินหน้าโครงการได้ ส่งผลให้โครงการก่อสร้างหลายแห่งหยุดชะงัก ผู้ซื้อบ้านหลายล้านคนที่ผ่อนเงินดาวน์ไปแล้วไม่สามารถเข้าอยู่ได้ ความไม่พอใจลุกลามไปถึงการประท้วงในหลายเมือง

ที่สำคัญ คือ เอเวอร์แกรนด์ ไม่ใช่ผู้พัฒนาเพียงรายเดียวที่เจอปัญหา หลังจากปี 2021 (2564) บริษัทอสังหาฯ ใหญ่อื่นๆ เช่น Country Garden, Sunac China ก็เผชิญวิกฤตสภาพคล่องเช่นกัน สะท้อนถึง “โดมิโนเอฟเฟกต์” ของอุตสาหกรรม หากรวมธุรกิจเกี่ยวเนื่อง เช่น วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ และการเงิน จะมีสัดส่วนมากถึง 25–30% ของ GDP จีน

ผลกระทบครั้งนี้ได้ลุกลามบานปลายไปถึงสถาบันการเงินที่มีการปล่อยกู้ให้โครงการอสังหาฯ รวมถึงรัฐบาลท้องถิ่นที่พึ่งพารายได้จากการขายที่ดินเป็นสัดส่วนใหญ่ ความตึงเครียดนี้ทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวชัดเจน

แม้บริษัทพยายามเจรจาปรับโครงสร้างหนี้และหาผู้ลงทุนใหม่ แต่ในที่สุด เอเวอร์แกรนด์ก็ยื่นขอล้มละลายที่สหรัฐฯ เมื่อปี 2023 (2566) เพื่อคุ้มครองสินทรัพย์ในต่างประเทศ หลังการฟ้องร้องยาวนาน ล่าสุดต้นปีที่แล้ว 2024 (2567) ศาลฮ่องกงมีคำสั่ง “ให้ชำระบัญชี” (liquidation order) และนำไปสู่การถอดหุ้นออกจากการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกอย่างเป็นทางการในวันนี้นั่นเอง นับเป็นการปิดฉากของบริษัทที่เคยมีมูลค่าตลาดหลายแสนล้านดอลลาร์ แต่ปัจจุบันแทบไม่เหลือมูลค่าใดๆ

ทั้งนี้สถานะล่าสุด หนี้ยังคงอยู่ที่ 45,000 ล้านดอลลาร์ ขายทรัพย์สินได้เพียง 255 ล้านดอลลาร์ ผู้ชำระบัญชีชี้ว่าการฟื้นโครงสร้างบริษัททั้งระบบแทบเป็นไปไม่ได้ ซึ่งการถอดออกครั้งนี้แม้เป็นเชิงสัญลักษณ์ แต่ถือเป็นหมุดหมายสำคัญเหลือเพียงกระบวนการล้มละลายว่าจะจ่ายเจ้าหนี้ได้เท่าไร

ปิดฉากเอเวอร์แกรนด์ มรดกที่ทิ้งไว้ คือ วิกฤตเศรษฐกิจ

สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า วิกฤติอสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่สร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจจีนมากที่สุด เนื่องจากภาคอสังหาฯ เคยมีสัดส่วนคิดเป็นราวหนึ่งในสามของเศรษฐกิจจีน และเป็นแหล่งรายได้หลักของรัฐบาลท้องถิ่น การที่ราคาที่อยู่อาศัยร่วงลงกว่า 30% ส่งผลให้ครัวเรือนจำนวนมากสูญเสียความมั่งคั่ง กระทบต่อความเชื่อมั่นจนทำให้การบริโภคลดลงและประชาชนลังเลที่จะลงทุน

เพื่อบรรเทาวิกฤติ รัฐบาลจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นหลายด้าน ทั้งการช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านใหม่ อัดฉีดตลาดหุ้น และกระตุ้นการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่ถึงอย่างนั้น เศรษฐกิจจีนยังเติบโตได้เพียงราว 5% ซึ่งถือว่าชะลอตัวอย่างมาก หากเทียบกับอัตราการเติบโตเฉลี่ยกว่า 10% ต่อปีในปี 2553

ที่สำคัญ คือ วิกฤติอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังไม่สิ้นสุด ล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2568 ศาลฮ่องกงเพิ่งมีคำสั่งให้ชำระบัญชี China South City Holdings ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่รองจาก Evergrande ขณะเดียวกัน Country Garden อีกหนึ่งยักษ์อสังหาฯ ของจีนก็กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาลดหนี้ต่างประเทศกว่า 14,000 ล้านดอลลาร์ โดยมีกำหนดนัดพิจารณาล้มละลายครั้งถัดไปในเดือนมกราคม 2569 นักวิชาการจึงเตือนว่ายังมีบริษัทอสังหาฯ จีนอีกหลายรายที่เสี่ยงจะล้มตามมา

ขณะที่ในมุมมองตลาดการเงิน Goldman Sachs คาดว่าราคาที่อยู่อาศัยในจีนจะยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องไปจนถึงปี 2570 ขณะที่นักวิเคราะห์บางรายประเมินว่าตลาดอสังหาฯ น่าจะแตะจุดต่ำสุดในอีกประมาณ 2 ปีข้างหน้า แต่ก็ยังมีบางเสียงที่มองว่ายังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เนื่องจากปัญหาเชิงโครงสร้างยังคงฝังลึก

ท่ามกลางวิกฤติครั้งนี้ รัฐบาลจีนยังคงยืนยันว่าจะไม่เข้ามาอุ้มบริษัทอสังหาฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างพฤติกรรมเสี่ยงเพิ่มเติมในอุตสาหกรรมที่ก่อหนี้มหาศาล การปรับยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของจีนจึงมุ่งไปที่การพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงแทน โดยประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาด รถยนต์ไฟฟ้า และหุ่นยนต์ ซึ่งนักวิเคราะห์อย่าง แดน หวัง สรุปว่าจีนกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่สู่ยุคการพัฒนาใหม่

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...