โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

โมเดลธุรกิจ Western Union ยักษ์การเงินที่โตจากความเหลื่อมล้ำเพราะยังมีคนนับล้านต้องส่งเงินกลับบ้าน

Thairath Money

อัพเดต 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ภาพไฮไลต์

ในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเป็นตัวเร่งขับเคลื่อนโลกให้หมุนไปเร็วขึ้น ผู้คนใช้ชีวิตได้สะดวกสบายขึ้น ธุรกิจหลายอย่างเติบโต โดยเฉพาะธุรกิจด้านการเงิน ที่กลายเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่นำเอาเทคโนโลยีมาใช้งานมากที่สุด และก้าวหน้ามากที่สุด

หนึ่งในภาคส่วนที่มีเม็ดเงินไหลเวียนมหาศาล และมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คือ “Cross-Border Payment” หรือ “การชำระเงินข้ามพรมแดน” โดยในปี 2024 ตลาดนี้มีขนาดประมาณ 194.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะขยายใหญ่ขึ้นสู่ 320 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2032 ตามข้อมูลของ FXC Intelligence

เช่นเดียวกันกับตลาด Non-Wholesale หรือ Retail Payment ซึ่งประกอบไปด้วยการชำระข้ามพรมแดนของ B2B (Business-to-Business), B2C (Business-to-Customer), C2B (Customer-to-Business) และ C2C (Customer-to-Customer) ที่ในปี 2024 มีมูลค่ากว่า 39.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะแตะ 64.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2032

การเติบโตของตลาดนี้มีผลมาจากการพัฒนาของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นทำให้การชำระเงินเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ บวกกับการเติบโตของธุรกิจ e-Commerce และการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ทำให้การใช้จ่ายข้ามประเทศเกิดได้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีคนอีกหนึ่งกลุ่มที่ต้องการพึ่งบริการการชำระเงินข้ามประเทศ จากข้อมูลของ World Bank เมื่อปี 2024 ประมาณการไว้ว่า มีผู้คนทั่วโลกกว่า 1,400 ล้านคนที่ปัจจุบันยังไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ และแม้ว่าจะมีเทคโนโลยีทางการเงินเข้ามาปิดช่องว่างลงได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่ตอบโจทย์กับอีกหลายคนที่ถือเงินสดเป็นหลัก

จึงเป็นที่มาว่าทำไมบริษัทการเงินอย่าง Western Union ที่อยู่มายาวนานถึง 174 ปียังคงอยู่รอดด้วยการพึ่งพารายได้จากการให้บริการส่งเงินข้ามประเทศ สำหรับลูกค้าที่ถือเงินสด ไม่สามารถเข้าถึงบริการหรือเทคโนโลยีทางการเงินได้ ครอบคลุมบริการทั่วโลกในกว่า 200 ประเทศ ทั้งในรูปแบบหน้าร้าน มีเอเจนต์ในพื้นที่ต่าง ๆ ตลอดจนแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าแรงงานที่ต้องการส่งเงินกลับบ้านโดยเฉพาะ

บทความนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money จะพาไปทำความเข้าใจโมเดลการทำงานและการทำเงินของ Western Union หนึ่งในบิ๊กการเงิน ที่ทุกวันนี้พึ่งกลยุทธ์ธุรกิจ 2 ขา ที่ผสมผสานระหว่างเครือข่ายตัวแทนที่มีอยู่ทั่วโลกเข้ากับแพลตฟอร์มดิจิทัลที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โมเดลลูกผสมนี้ทำให้บริษัทสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าหลักได้อย่างเหนียวแน่น นั่นคือ กลุ่มแรงงานข้ามชาติและผู้ที่เข้าไม่ถึงบริการธนาคาร ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงพึ่งพาการทำธุรกรรมด้วยเงินสดเป็นหลัก

ยักษ์ที่อยู่มากว่า 170 ปี

ก่อนอื่นจะต้องขอพาย้อนไปดูประวัติความเป็นมาของ Western Union ว่าจริง ๆ แล้วไม่ได้เริ่มต้นด้วยธุรกิจด้านการเงิน แต่เริ่มต้นจากธุรกิจ “โทรเลข” ที่เรียกได้ว่าเป็นมหาอำนาจด้านการสื่อสารของสหรัฐอเมริกาในยุคนั้นเลยทีเดียว

ยุคทองโทรเลข

จุดกำเนิดของ Western Union ต้องย้อนกลับไปในปี 1851 ในยุคของโทรเลข เริ่มต้นจากการก่อตั้งบริษัท “New York and Mississippi Valley Printing Telegraph Company” ในเมืองโรเชสเตอร์ รัฐนิวยอร์ก เป็นผู้มาก่อนกาลที่ต้องการจะวางสายโทรเลขเชื่อมรัฐต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกาเข้าด้วยกัน

แต่จุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์เกิดขึ้นในปี 1856 เมื่อบริษัทได้ควบรวมกิจการกับคู่แข่งรายสำคัญ และจากการควบรวมนี้ทำให้บริษัทได้เปลี่ยนชื่อไปเป็น “Western Union Telegraph Company” เพื่อสื่อถึงแนวคิดหลัก อย่าง การรวมสายโทรเลขจากฝั่งตะวันตกให้เป็นหนึ่งเดียว แนวคิดดังกล่าวยังได้วางรากฐานเกี่ยวกับเครือข่ายที่ทรงพลังและเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจของบริษัทมาจนถึงทุกวันนี้

บริษัทได้เดินหน้ารวบรวมกิจการในอุตสาหกรรมโทรเลขของอเมริกาที่เคยกระจัดกระจายอย่างรวดเร็ว ผ่านการไล่ซื้อกิจการอย่างต่อเนื่อง การขยายตัวอย่างก้าวกระโดดนี้นำไปสู่หนึ่งในความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์แห่งศตวรรษที่ 19 ทั้งในด้านเทคโนโลยีและโลจิสติกส์ นั่นคือ การวางสายโทรเลขข้ามทวีปสายแรกได้สำเร็จในปี 1861 พร้อมกับส่งข้อความแรกผ่านเครือข่ายใหม่นี้ถึงประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ก็ยิ่งตอกย้ำสถานะของ Western Union ในฐานะโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของชาติ

ต่อมาในปี 1866 หลังจากการเข้าซื้อกิจการคู่แข่งรายใหญ่ 2 รายสุดท้าย อย่าง American Telegraph Company และ United States Telegraph Company ก็ทำให้ Western Union สามารถผูกขาดอุตสาหกรรมโทรเลขของอเมริกาได้อย่างเบ็ดเสร็จ จนกลายเป็นหนึ่งในบริษัทสำคัญของสหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในผู้พัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสาร และสร้างอิมแพคต่อวิถีชีวิตชาวอเมริกันมาอย่างยาวนาน

เปลี่ยนผ่านสู่บริการโอนเงิน

หลังจากครองตลาดการส่งข้อมูลได้อย่างเบ็ดเสร็จ Western Union ก็มองเห็นโอกาสทางธุรกิจอย่างเฉียบแหลมในการส่งต่อมูลค่า ในปี 1871 บริษัทได้เปิดตัวบริการ “โอนเงินผ่านสาย” หรือ “Wire Money Transfer” เป็นครั้งแรกของโลก นวัตกรรมนี้ถือเป็นการพลิกโฉมธุรกิจครั้งใหญ่ โดยใช้ประโยชน์จากเครือข่ายโทรเลขที่มีอยู่เดิมเพื่อเคลื่อนย้ายเงินทุนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ระยะทางไกล

บริการนี้ได้วางรากฐานทางการเงินที่กลายมาเป็นตัวตนปัจจุบันของบริษัท ควบคู่ไปกับนวัตกรรมหลักนี้ บริษัทยังคงขยายบริการอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดตัวเครื่องรายงานราคาหุ้น (Stock Ticker) เครื่องแรกในปี 1866 และบริการเทียบเวลามาตรฐาน (Standardized Time Service) ในปี 1870 ซึ่งยิ่งตอกย้ำการเป็นส่วนหนึ่งของเส้นเลือดใหญ่ทางการค้าของอเมริกา

กว่าหนึ่งศตวรรษที่ Western Union ได้ดำเนินธุรกิจในฐานะบริษัทสื่อสารและบริการทางการเงินแบบครบวงจร จนเกิดจุดเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เมื่อมีการผ่อนคลายกฎระเบียบทางการเงิน เปิดทางให้ธุรกิจโอนเงินที่เคยจำกัดอยู่แค่ในประเทศสามารถขยายสู่เวทีระหว่างประเทศได้ Western Union ไม่รอช้าที่จะคว้าโอกาสนี้ไว้ โดยเดินหน้ารุกขยายเครือข่ายอย่างจริงจัง จนครอบคลุมปลายทางการโอนเงินที่สำคัญอย่างประเทศจีนได้สำเร็จในช่วงกลางทศวรรษ 1990

การเปลี่ยนผ่านครั้งสุดท้ายที่ชัดเจนที่สุดเกิดขึ้นในวันที่ 26 มกราคม 2006 โดย Western Union ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก และได้ปรับโฟกัสทั้งหมดมาที่บริการโอนเงินข้ามพรมแดนอย่างเต็มตัว และในวันรุ่งขึ้นบริษัทได้ส่งโทรเลขฉบับสุดท้าย เป็นการปิดฉากตำนานธุรกิจต้นกำเนิดของบริษัทลงอย่างเป็นทางการ และเพื่อเปิดรับอนาคตในฐานะผู้ให้บริการทางการเงินระดับโลกอย่างสมบูรณ์

แนวคิดธุรกิจ “ช่วยทุกคนส่งเงินกลับบ้าน”

โมเดลธุรกิจของ Western Union คือระบบลูกผสม (Hybrid System) ที่ซับซ้อน ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มประชากรโลกที่มักถูกมองข้าม บริษัทได้ผสมผสานโครงสร้างพื้นฐานเดิมทางกายภาพที่มีอยู่มหาศาล อย่างการมีหน้าร้าน มีเอเจนต์คอยให้บริการ เข้ากับแพลตฟอร์มดิจิทัลที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ธุรกิจมีระบบนิเวศที่เป็นเอกลักษณ์

ภารกิจที่บริษัทประกาศไว้คือ “การทำให้ผู้คนทุกหนแห่งสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้” โดยมุ่งเน้นที่การช่วยเหลือผู้คนและธุรกิจให้สามารถสร้างอนาคตที่มั่งคั่งขึ้นสำหรับครอบครัวและชุมชนของตัวเอง แต่ภารกิจนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่กลุ่มลูกค้าผู้มั่งคั่งตามแบบที่ธนาคารทั่วไปต้องการ

โดย Western Union มีกลุ่มลูกค้าหลักเป็นกลุ่มแรงงานข้ามชาติและประชากรทั่วโลกที่เข้าไม่ถึงบริการธนาคาร หรือไม่มีบัญชีธนาคาร ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้มักจะถูกกีดกันออกจากระบบการเงินกระแสหลักด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น มีรายได้ไม่แน่นอน มีการจ้างงานที่ไม่มั่นคง ขาดเอกสารทางการที่จำเป็นในการเปิดบัญชีธนาคาร ตลอดจนเผชิญกับอุปสรรคสำคัญด้านภาษาและวัฒนธรรม

สำหรับลูกค้ากลุ่มนี้ที่ต้องการความเรียบง่ายในบริการ เข้าถึงได้ง่าย และเน้นการถือเงินสด เพียงแค่เดินไปหน้าร้านของ Western Union ยื่นเงินสดพร้อมเอกสารสำคัญ อย่างเช่น บัตรประชาชน พาสปอร์ต และข้อมูลของผู้รับปลายทาง เพียงเท่านี้ก็สามารถส่งเงินกลับบ้านได้แล้ว

จุดนี้ทำให้ Western Union กลายเป็นความสะดวกสบายที่มาตอบสนองความจำเป็นในการดำรงชีวิต การที่บริษัทมุ่งเน้นเชิงกลยุทธ์ไปที่ประชากรกลุ่มนี้โดยเฉพาะ ซึ่งมักเป็นกลุ่มที่ขาดโอกาส ถือเป็นปัจจัยสร้างความแตกต่างที่สำคัญที่ทำให้บริษัทสามารถสร้างตลาดขนาดมหึมาของตนเองขึ้นมาได้ทั่วโลก

และเมื่อโลกกำลังขับเคลื่อนไปด้วยเทคโนโลยี Western Union ก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป หันมาทุ่มทุนมหาศาลสร้างแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งประกอบด้วยเว็บไซต์ WU.com และแอปพลิเคชันบนมือถือ โดยปัจจุบันรองรับการส่งเงินจากกว่า 75 ประเทศทั่วโลก

ธุรกิจในส่วนนี้ที่เรียกว่า “Branded Digital” ได้กลายเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการเติบโตของบริษัท โดยมีการรายงานยอดธุรกรรมที่เติบโตในระดับเลขสองหลักอย่างต่อเนื่องในไตรมาสล่าสุด ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าลูกค้าตอบรับและหันมาใช้งานเป็นอย่างดี

ที่สำคัญคือ เครือข่ายดิจิทัลและเครือข่ายตัวแทนไม่ได้ทำงานแยกส่วนกัน แต่ถูกผสมผสานเข้าด้วยกันมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยฟีเจอร์สำคัญของแพลตฟอร์ม Western Union คือการที่ผู้ส่งเงินสามารถเริ่มต้นทำธุรกรรมออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ จากนั้นผู้รับเงินสามารถไปรับเงินสดได้ที่จุดบริการตัวแทนจริงในอีกไม่กี่นาทีต่อมา

ความสามารถในการเชื่อมต่อโลกดิจิทัลเข้ากับโลกจริงได้อย่างไร้รอยต่อนี้ ถือเป็นความสามารถอันเป็นเอกลักษณ์ที่คู่แข่งฟินเทคซึ่งเป็นดิจิทัลล้วน ๆ ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย ๆ

โมเดลทำเงินของ Western Union

จากรายงานผลประกอบการของ Western Union ในปี 2024 พบว่ามีรายได้รวมอยู่ที่ 4,210 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ มีรายได้ที่ 984 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้วบริษัทสามารถทำเงินได้ในหลักพันล้านนี้ได้อย่างไร? คำตอบคือ มาจาก 2 ช่องทาง ได้แก่ “ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม” และ “ส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน”

ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม (Transaction Fees)

ในการทำธุรกรรมผ่าน Western Union แต่ละครั้งจะมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม เป็นค่าธรรมเนียมที่ผู้ส่งเงินต้องจ่ายล่วงหน้าเพื่อเริ่มต้นการโอน แต่ค่าธรรมเนียมเหล่านี้จะไม่คงที่ มีความผันผวนสูงต่ำขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน ได้แก่

  • จำนวนเงินที่ส่ง (Principal Amount): ยิ่งส่งมาก ค่าธรรมเนียมอาจเปลี่ยนไป
  • เส้นทางการโอน (Corridor): ค่าธรรมเนียมในประเทศต้นทางและประเทศผู้รับจะต่างกันไปตามกฎเกณฑ์ของบริษัท
  • วิธีการชำระเงิน (Payment Method): เงินสด, บัญชีธนาคาร, บัตรเดบิต, บัตรเครดิต
  • วิธีการรับเงิน (Delivery Method): รับเงินสด, เข้าบัญชีธนาคาร, เข้ากระเป๋าเงินดิจิทัล (Mobile Wallet)
  • ความเร็วในการโอน (Transfer Speed): ความเร่งด่วนของการโอน เช่น บริการพิเศษ Money in Minutes ที่ผู้รับจะได้รับเงินในไม่กี่นาทีก็จะเสียค่าธรรมเนียมสูงกว่า

ทั้งนี้ ก็มีอยู่บ่อยครั้งที่ Western Union ใช้โปรโมชันส่งเสริมการขาย เช่น ไม่มีค่าธรรมเนียมโอนสำหรับการโอนเงินออนไลน์ครั้งแรก เพื่อเป็นเครื่องมือทางการตลาดดึงดูดผู้ใช้ใหม่เข้ามาสู่ระบบนิเวศของบริษัท จากนั้นรายได้กระแสที่สองซึ่งสำคัญกว่าก็จะเริ่มทำงาน

ส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน (Foreign Exchange - FX Spread)

ส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยน คือ เครื่องจักรทำเงินที่แม้โปร่งใสน้อยกว่าแต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผลกำไรของ Western Union นั่นคือ ส่วนต่างระหว่าง “อัตราแลกเปลี่ยนแบบขายส่ง” ที่ Western Union สามารถหามาได้ กับ “อัตราแลกเปลี่ยนแบบขายปลีก” ที่บริษัทเสนอให้กับลูกค้า โดยมีกลไกการทำงานเป็นดังนี้

  • อัตราแลกเปลี่ยนขายส่ง (Wholesale Rate): สถาบันการเงินขนาดใหญ่จะซื้อขายสกุลเงินในตลาดระหว่างธนาคารด้วยเรทเฉพาะ ซึ่งมักเรียกว่า อัตรากลาง (Mid-market Rate)
  • อัตราแลกเปลี่ยนขายปลีก (Retail Rate): หลังจากนั้น Western Union จะบวกส่วนต่างกำไร หรือ Spread เข้าไปในอัตราขายส่ง และเสนออัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมให้กับลูกค้า
  • การทำกำไร (Profit Capture): ส่วนต่างระหว่างอัตราขายส่งและอัตราขายปลีก คือรายได้ที่ Western Union เก็บเข้ากระเป๋าไปจากธุรกรรมนั้น

ขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัด ๆ สมมติว่าลูกค้าต้องการส่งเงิน 500 ดอลลาร์สหรัฐจากสหรัฐอเมริกามาไทย (อัตราแลกเปลี่ยนก็เป็นอัตราสมมตินะคะ เพื่อทำให้เห็นภาพง่ายขึ้นค่ะ)

  • สมมติอัตราแลกเปลี่ยนกลางในตลาดของ 1 ดอลลาร์สหรัฐ = 34 บาท
  • อัตราแลกเปลี่ยนที่ Western Union เสนอ 1 ดอลลาร์สหรัฐ = 32 บาท
  • ลูกค้าจ่ายค่าธรรมเนียมเบื้องต้น สมมติว่า 5 ดอลลาร์สหรัฐ

ดังนั้น เงินต้น 500 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อแลกด้วยเรทของ Western Union ผู้รับจะได้รับเงินที่ 500 * 32 = 16,000 บาท แต่หากใช้อัตราแลกเปลี่ยนกลาง เงิน 500 ดอลลาร์สหรัฐควรจะมีมูลค่าที่ 500 * 34 = 17,000 บาท

นั่นเท่ากับว่า ส่วนต่าง 1,000 บาท (คิดเป็นเงินประมาณ 29.40 ดอลลาร์สหรัฐตามอัตรากลาง) คือต้นทุนแฝงที่เกิดจาก FX Spread ซึ่ง Western Union ได้รับส่วนนี้เข้ากระเป๋าไปเป็นรายได้

ในสถานการณ์นี้ ต้นทุนที่แท้จริงของผู้ส่งจึงไม่ใช่แค่ค่าธรรมเนียม 5 ดอลลาร์สหรัฐที่เป็นค่าธรรมเนียม แต่ยังมี 29.40 ดอลลาร์สหรัฐที่เป็นต้นทุนแฝง รวมเป็น 34.40 ดอลลาร์สหรัฐนั่นเอง

FX Spread นี้เอง คือจุดที่คู่แข่งธุรกิจ FinTech อย่าง Wise (ชื่อเดิม TransferWise) สร้างแบรนด์ขึ้นมาเพื่อโจมตีโดยตรง โดยชูจุดขายเรื่องการใช้อัตราแลกเปลี่ยนกลางในการแลกเปลี่ยน พร้อมเก็บค่าธรรมเนียมที่โปร่งใสและชัดเจน

อย่างไรก็ตาม จากรายงานผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมา Western Union กลับมีรายได้ลดลงในทุกปี โดยมองย้อนกลับไปตั้งแต่ 2021 พบว่า Western Union มีรายได้ดังนี้

  • ปี 2021: 5,070 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • ปี 2022: 4,480 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • ปี 2023: 4,360 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • ปี 2024: 4,210 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยธุรกิจโอนเงินลูกค้ารายย่อย ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจหลักนี้มีรายได้ลดลง 9% ในไตรมาส 1 ปี 2025 แม้ว่ายอดธุรกรรมโดยรวมในกลุ่มนี้จะเติบโตขึ้น 3% ส่วนธุรกิจดิจิทัล (Branded Digital) กลุ่มนี้ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตหลัก โดยในไตรมาสนี้เติบโตขึ้น 7%

ซึ่งในปัจจุบันนี้ Western Union กำลังเร่งขับเคลื่อนบริษัทด้วยแนวทางใหม่ด้วยกลยุทธ์ “Evolve 2025” ทำให้มีค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีที่สูงขึ้น โดยบริษัทยังคงมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง จึงยอมเสียสละอัตราในระยะสั้น เพื่อเป็นทุนในการเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคตที่เน้นดิจิทัลมากขึ้น

ที่มา: Western Union [1][2][3], Vizology.), Britannica, Companies Market Cap, FXC Intelligence, WE Forum, US SEC, Modern MBA

ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : โมเดลธุรกิจ Western Union ยักษ์การเงินที่โตจากความเหลื่อมล้ำเพราะยังมีคนนับล้านต้องส่งเงินกลับบ้าน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Thairath Money

ภาวะ “หวาดระแวงเกินเหตุ” Paranoid Attribution โรคระบาดเงียบในออฟฟิศ มองทุกอย่างเป็นสัญญาณอันตราย

6 ชั่วโมงที่ผ่านมา

Options Wizard เครื่องมือเด็ดช่วยเทรด Options

8 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

จีนสร้างสรรค์ “เทคโนโลยีสีเขียว-คาร์บอนต่ำ” สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน

เดลินิวส์

ด่วน กยศ. ขอโทษผู้กู้ยืม หักเงินเกินอัตโนมัติ เร่งคืนเงินเร็วที่สุด ภายใน 3 วัน

Thaiger

พาณิชย์ ผนึก H Mart ห้างค้าปลีกสหรัฐ เพิ่มสินค้าอาหารไทย ต่อยอดร้าน TOPTHAI

Khaosod

นักวิชาการ มองลด ภาษีสหรัฐฯ 0% เสี่ยง “สินค้าทะลัก” กระทบในประเทศหนัก

การเงินธนาคาร

"วิทัย รัตนากร" ชี้ 3 แนวทางลดหนี้ครัวเรือน 16.4 ล้านลบ.ให้ต่ำลง คนเข้าถึงเงินกู้ในระบบ

TNN ช่อง16

CoinDCX โดนเจาะกระเป๋าดำเนินงาน! สูญ 1,425 ล้านบาท ยัน “เงินลูกค้าปลอดภัย”

Manager Online

“จตุพร–ฉันทวิชญ์” ลุย Eataly นิวยอร์ก ต่อยอดเปิดร้านสินค้าไทยในต่างแดน

Khaosod

เงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,200 บาท ใครมีสิทธิได้รับบ้าง?

sanook.com

ข่าวและบทความยอดนิยม

โมเดลธุรกิจ Western Union ยักษ์การเงินที่โตจากความเหลื่อมล้ำเพราะยังมีคนนับล้านต้องส่งเงินกลับบ้าน

Thairath Money

Money20/20 กลับมาอีกครั้ง เปิดนวัตกรรมการเงินเปลี่ยนอนาคต ชูเทรนด์ Payments มาตรฐานใหม่ของเอเชีย

Thairath Money

ภายใน 4 ปี E-Commerce อาเซียนจะมีมูลค่าสูงถึง 11 ล้านล้านบาท เม็ดเงินสะพัดข้ามพรมแดน

Thairath Money
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...