ผ้าไหม-ไม้ไผ่ บุรีรัมย์ปัง! คนรุ่นใหม่ปั้นนวัตกรรมผสานภูมิปัญญา
“ผ้าไหมและงานจักสาน” เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดบุรีรัมย์ แสดงถึงวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของท้องถิ่น ซึ่งผ้าไหมบุรีรัมย์มีความหลากหลายลวดลายและสีสัน ส่วนงานจักสานนั้น มีทั้งของใช้ในชีวิตประจำวันและของประดับตกแต่งที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ
“โครงการสานศิลป์ ถิ่นภูมิปัญญา บุรีรัมย์” จาก ทีม Young ผการันดูล มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ หนึ่งในโครงการของนักศึกษาที่ดำเนินการมาเข้าสู่ปีที่ 5 ด้วยการสานต่อจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง เพื่อร่วมกันสืบสานงานหัตถกรรมพื้นถิ่น เช่น ผ้าไหมและจักสานไม้ไผ่ ด้วยนวัตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมสมัย มุ่งสร้างรายได้และระบบเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน
5 ตัวแทนจากทีม Young ผการันดูล มรภ.บุรีรัมย์ ประกอบด้วย กัญญพัชร ดีชัยรัมย์ (หัวหน้าทีม) ชั้นปีที่ 3 คณะครุศาสตร์ พิราอร เขตต์สิงห์ ชั้นปีที่ 2 คณะครุศาสตร์ สุพรรษา ชมสีสม ชั้นปีที่ 3 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ณัฐฤดี กระแชรัมย์ ชั้นปีที่ 4 คณะครุศาสตร์ และสุมินตรา โกรศี ชั้นปีที่ 4 คณะครุศาสตร์ ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ซึ่งชุมชนของจ.บุรีรัมย์ มีการทอผ้าไหมและจักสานไม้ไผ่ในหลายหมู่บ้าน แต่ใช่ว่าผลิตภัณฑ์ผ้าไหมท้องถิ่นจะบูมเท่าที่ควร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
จุดริเริ่ม “สานศิลป์ ถิ่นภูมิปัญญา บุรีรัมย์”
“ชุมชนบ้านกระเจา จ.บุรีรัมย์” เป็นจุดเริ่มต้นของโครงการสานศิลป์ ถิ่นภูมิปัญญา บุรีรัมย์ ที่มีกลุ่มนักศึกษามรภ.บุรีรัมย์ ริเริ่ม โดยใช้โมเดล PKRDS และ BMC ร่วมกับการอบรมบัญชีครัวเรือน ช่วยเพิ่มรายได้ผู้ผลิต 63% สร้างงานกว่า 3,000 ราย เป็นการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ และเกิดการเชื่อมโยงชุมชนท่องเที่ยว
สองสาวรุ่นพี่ “สุมินตรา และ.ณัฐฤดี” ช่วยกันเล่าถึงการดำเนินการในช่วงแรกๆ ว่า ชุมชนบ้านกระเจา จ.บุรีรัมย์ เป็นชุมชนที่การทอผ้าไหมอยู่แล้ว และถือเป็นอาชีพ รายได้หลักของชาวบ้าน โดยส่วนใหญ่กลุ่มทอผ้าไหมจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ หรืออายุเฉลี่ยประมาณ 40 ปีขึ้นไป และมีการทำการตลาดที่เติบโตได้เองอยู่แล้ว แต่รุ่นพี่ที่ดำเนินการก่อนหน้านี้มีการนำนวัตกรรมมาออกแบบลายผ้าด้วยโปรแกรม อย่าง
ลายผ้าปูนา ปลาช่อน และเพิ่มความสวยงามมากขึ้น รวมทั้งมีการนำความเข้าใจกับชาวบ้าน ให้เขาได้เห็นลายจริง ทำให้ชาวบ้านอยากสักทอดู และเริ่มมีการทำการตลาด ขายได้เพิ่มรายได้ให้แก่ชาวบ้านมากขึ้น
“หลังจากที่ชาวบ้านทอผ้าไหมลายปูนา ปลาช่อน ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น และมีออเดอร์มากขึ้น ทางทีม Young ผการันดูล มรภ.บุรีรัมย์ จึงได้มีการขยายไปยังหมู่บ้านชุมชนข้างๆ ซึ่งมีการทอผ้าไหมเช่นเดียวกัน เพื่อเป็นการกระจายรายได้ และยกระดับหัตถกรรมท้องถิ่น ในปัจจุบันสามารถขยายไปได้ 20 หมู่บ้าน 23 อำเภอ ในจ.บุรีรัมย์ รวมถึงมีการพัฒนาจักสานไม้ไผ่ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ได้ง่ายขึ้นในชีวิตประจำวัน เป็นรูปแบบใหม่ๆ ผสมผสานกับการท่องเที่ยวเชิงภูมิปัญญาท้องถิ่น มีการทำที่พักโฮมสเตย์ เพิ่มคุณภาพชีวิต สร้างรายได้ สร้างอาชีพให้แก่คนในชุมชนท้องถิ่น”
ลงพื้นที่ แลกเปลี่ยน ยกระดับงานคราฟ
ตอนลงไปแลกเปลี่ยนความรู้ นำนวัตกรรมการทอผ้าไหม และกระบวนการจักสานไม้ไผ่ทำงานร่วมกับชาวบ้าน พร้อมทั้งมีการทำการตลาดรูปแบบใหม่ ทำให้ลูกค้าเข้าใจมากขึ้น ว่าทำไม ผ้าไหม หรือหัตถกรรมจักสาน ถึงมีราคาแพง เพราะกว่าจะได้ผ้ามาแต่ละผืน กว่าจะได้ผลิตภัณฑ์จักสานในแต่ละชิ้น เป็นงานคราฟท์ที่ทำด้วยมือ อาศัยทักษะ ความคิดสร้างสรรค์ และต้องใช้เวลา
พิราอร และสุพรรษา เล่าเสริมว่าทุกหมู่บ้านในจ.บุรีรัมย์ จะมีการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม การลงพื้นที่เข้าไปทำงานร่วมกับชาวบ้าน นอกจากเป็นการเพิ่มมูลค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์ชุมชนท้องถิ่น และคุณภาพชีวิตชาวบ้านแล้ว ยังมีการเชื่อมกับการทำงานกับท้องถิ่น หน่วยงานราชการ และเอกชน เพื่อมาร่วมอบรมให้ความรู้ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ กระบวนการทอผ้าไหม กระบวนการจักสานไม้ไผ่ และช่องทางการตลาด
“เวลาคนซื้อผ้าไหม มักจะต่อราคา เพราะมองว่าผ้าไหมราคาแพง ทั้งที่จริงๆ การทอผ้าไหมใช้เวลานาน เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งเมื่อจัดทำโครงการดังกล่าวสามารถช่วยชาวบ้านทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน โดยทางด้านเศรษฐกิจสามารถเพิ่มรายได้ 63% และมีการนำเยาวชนเข้าสู่ระบบธุรกิจ ขณะที่สิ่งแวดล้อม ช่วยลดคาร์บอนได้ 76.76% ลดพลาสติก 80% และปลูกป่า 50 ไร่ ที่สำคัญ ทำให้เกิดระบบนิเวศ ทั้งการตั้งศูนย์เรียนรู้สานศิลป์ ชมรมในโรงเรียนชั้นประถม ถึงมัธยม มีแผนในอบต.-เทศบาล และมีระบบบัญชี ที่ชุมชนดูแลต่อได้เอง”
ส่งต่อคนรุ่นใหม่ สานงานคราฟท์
ตอนนี้ได้มีการขยายไปสู่ตลาดนานาชาติมากขึ้น เพราะในทีม มีการนำภาษาอังกฤษเข้ามาใช้ในการสื่อสารทางการตลาด เพื่อให้ชาวต่างชาติที่สนใจผ้าไหม หรือจักสานไม้ไผ่ ได้นำผลิตภัณฑ์ของชุมชน ไปใช้ หรือ ไปจัดจำหน่าย
กัญญาพัชร เล่าด้วยว่าข้อจำกัดของชุมชนที่ทำงานศิลปหัตถกรรม หรืองานคราฟนั้น คือ ระยะเวลาการผลิต ยิ่งมีออเดอร์มากขึ้นจะทำให้ผลิตไม่ทัน การสร้างเครือข่ายในการผลิตหัตถกรรมตามออเดอร์ได้ตามความต้องการของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งงานคราฟท์ในปัจจุบันได้รับความสนใจจากลูกค้าทั้งในไทยและต่างประเทศจำนวนมาก เพราะเป็นงานสร้างสรรค์ที่ทำด้วยมือ มีเอกลักษณ์เฉพาะ แต่ละชิ้นก็จะมีความสวยงามที่แตกต่างกัน
“งานคราฟท์ งานพื้นบ้าน งานศิลปหัตถกรรมในชุมชนท้องถิ่น อาจจะม่ได้รับความสนใจจากคนรุ่นใหม่ เพราะต้องยอมรับว่า ไม่มีการประชาสัมพันธ์มากพอ หรือช่องทางการจัดจำหน่าย การตลาดที่จะเข้าถึงได้ หรือหากเข้าถึง มุมมองของคนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า ไม่ทันสมัย ไม่น่าสนใจ ดังนั้น ควรจะมีการส่งเสริมงานศิลปหัตถกรรมท้องถิ่นให้มากขึ้น ควรใช้การเล่าเรื่องให้เกิดประโยชน์ และสร้างเครือข่าย งานคราฟท์ในแต่ละท้องถิ่นมีเรื่องเล่าแตกต่างกัน อยากให้หน่วยงานไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ หรือภาคเอกชน ช่วยผลักดันผลิตภัณฑ์ฝีมือคนไทย งานคราฟท์ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มรายได้ สร้างอาชีพให้แก่คนในชุมชน”
นอกจากนั้น ต้องมีการสนับสนุนให้เยาวชนคนรุ่นใหม่เห็นคุณค่าของงานคราฟท์พื้นบ้าน อย่าให้หายไปกับผู้สูงอายุ ถ้ากลุ่มผู้สูงอายุไม่อยู่แล้ว เยาวชนจะเป็นพลังสำคัญ และอยากให้คนรุ่นใหม่เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาต่อยอดด้วยการนำนวัตกรรมใหม่ๆ ผสมผสานกับภูมิปัญญา เพื่อสานต่อศิลปหัตถกรรมของไทยให้ยั่งยืนคงอยู่ต่อไป