โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

'ภาษีทรัมป์-การเมือง'เขย่าครึ่งปีหลัง หุ้นไทยเสี่ยงหลุด 1,000 จุด ลงทุนอย่างไรให้รอด!

PostToday

อัพเดต 2 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 2 วันที่แล้ว

นายเวย์ ฟุก โหว Chief Investment Office, DBS Bank เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนในตลาดโลกในช่วงครึ่งหลังปี68 ยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดโลกท่ามกลางความท้าทายและความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีสหรัฐ ความไม่ชัดเจนด้านนโยบายความเสี่ยงสินทรัพย์การเงินทั่วโลก

ดังนั้น 3 ธีมหลักที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางในไตรมาส 3/68 ครอบคลุมแนวโน้มการลงทุน เรื่องแรก คือ การคลี่คลายความตึงเครียดทางภาษีอย่างเป็นรูปธรรม

เรื่องที่สอง คือ ผลตอบแทนของตลาดหุ้นที่เริ่มแตกต่างกันชัดเจนระหว่างภูมิภาค และกลุ่มอุตสาหกรรม

สุดท้ายคือ เรื่องความเสี่ยงทางการคลังที่กดดันพันธบัตรรัฐบาลและค่าเงินดอลลาร์ แต่กลับเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำการที่สหรัฐฯและจีนเร่งลดระดับความตึงเครียดทางการค้าอย่างกะทันหันสร้างความประหลาดใจให้กับตลาด โดยมีแรงผลักดันจากเหตุผลเชิงปฏิบัติ เนื่องจากภาษีนำเข้าในอัตราสูงถึง 145% เปรียบเสมือนมาตรการคว่ำบาตรทางการค้าที่ส่งผลเสียต่อทั้งสองฝ่าย

ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับภาระการรีไฟแนนซ์ หนี้ภาครัฐกว่า 7.8 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ ประกอบกับกระแสนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ที่เริ่มลดลงในประเทศ ส่งผลให้ทรัมป์หันมารับนโยบายก้าวหน้าในบางด้าน เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ ให้พรรครีพับลิกันในฐานะพรรคของชนชั้นแรงงาน ก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมในปี 2570

ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนคงให้น้ำหนัก"ตราสารหนี้" มากกว่าตราสารทุน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยง ทั้งด้านเงินเฟ้อ และการชะลอตัวของการเติบโต (stagflation) โดยโมเมนตัมของภาคการผลิตในสหรัฐฯ เริ่มชะลอลงตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ดัชนีเศรษฐกิจ โดยรวมออกมาต่ำกว่าคาด สะท้อนความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ และทำให้ภาคเอกชนชะลอการลงทุน

ในทางกลับกัน ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อกลับเพิ่มขึ้น จากปัจจัยด้านอุปทานไม่ว่าจะเป็นปัญหาในห่วงโซ่อุปทาน ภาวะตึงตัวในตลาดแรงงาน และการเร่งตัวของปริมาณเงิน โดยหลายบริษัท เริ่มรายงานต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน การคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทในสหรัฐฯ ถูกปรับลดลงเล็กน้อย สะท้อนสมมติฐานของนักวิเคราะห์ที่คาดว่า ความตึงเครียดทางการค้าจะค่อยๆ คลี่คลาย ขณะที่ยุโรป และญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มคล้ายกัน

ตลาดเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) สวนทางกับภูมิภาคอื่น โดยคาดว่ากำไรของบริษัทในปี 2025 จะเติบโตถึง 12.4% เมื่อเทียบกับเพียง 6.6% ในตลาดพัฒนาแล้ว (DMs)

เรื่อง "หุ้น" คงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯให้น้ำหนัก Overweight ต่อหุ้นยุโรป ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษี การจัดสรรการลงทุนตามประเทศ ยังคงขึ้นอยู่กับผลของการเจรจาข้อตกลงการค้าช่วงเดือนกรกฎาคม ซึ่งอาจมีผลลัพธ์สองทางอย่างชัดเจน

โดยคงสมมติฐานฐานว่าสหรัฐฯจะเลือกแนวทางที่เป็นกลางและลดความตึงเครียดกับทั้งจีน และยุโรป ภายในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เรายังคงน้ำหนัก “Underweight” เล็กน้อยในหุ้นสหรัฐฯ

เนื่องจากการคาดการณ์กำไรของตลาด ยังคงสูงเกินจริงที่ระดับ 11% เทียบกับ 7% สำหรับ ตลาดพัฒนาแล้ว และทิศทางค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่ากดดันให้นักลงทุนต้องกระจายการลงทุน มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การให้แนวโน้ม ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของ Nvidia ยังคงตอกย้ำธีมการเติบโตของ AI ว่ายังมีความแข็งแรง

ขณะที่โมเมนตัมในกลุ่มเทคโนโลยีคาดว่าจะช่วยชดเชยจุดอ่อน ในกลุ่มที่ไม่ใช่เทคโนโลยีของสหรัฐฯได้บางส่วน ยังคงให้น้ำหนัก “Overweight” ต่อหุ้นยุโรป จากความกังวลด้านความยั่งยืน ทางการคลังของสหรัฐฯ ซึ่งกำลังกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนทิศทางการจัดสรรการลงทุน รวมถึงแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้น ของงบประมาณด้านกลาโหมในฝั่งเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) หุ้นยังคงมีมูลค่าที่น่าดึงดูด โดยมีส่วนลดอยู่ที่ 33% เมื่อเทียบกับตลาดพัฒนาแล้ว และคาดว่ากำไรในปี 2025 จะเติบโตถึง 12.4%

"ตราสารหนี้" ใช้กลยุทธ์ “Duration Barbell” ท่ามกลางความกังวลด้านการคลัง และเงินเฟ้อ ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดเริ่มหันมาให้ความสนใจกับประเด็นความยั่งยืนทางการคลังหลังอัตราผลตอบแทน พันธบัตร ระยะยาวปรับตัวสูงขึ้นจากภาวะไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์ และอุปทาน โดยอัตราผลตอบแทน พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ และญี่ปุ่น (JGBs) อายุยาวที่ปรับตัวพุ่งขึ้น

สะท้อนแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งมีแนวโน้มจะยืดเยื้อจากความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี ภาวะตึงตัวในตลาดแรงงาน และการเร่งตัวของปริมาณเงินในระบบ ทั้งในระยะ 3 เดือน และ 12 เดือนข้างหน้าจึงปรับลดน้ำหนักพันธบัตรรัฐบาลในประเทศพัฒนาแล้ว (DM) ลงสู่ระดับ “Neutral” เนื่องจากคาดว่าผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวจะยังคงอยู่ในระดับสูง และส่วนต่างอัตราผล ตอบแทนระยะสั้น-ยาว มีแนวโน้มชันขึ้นสำหรับตราสารหนี้ภาคเอกชนยังคงเน้นลงทุนในกลุ่ม คุณภาพระดับ A/BBB และใช้กลยุทธ์ Duration Barbell

โดยเน้นลงทุนในตราสารระดับ Investment Grade ที่มีอายุตั้งแต่ 2-3 ปี และ 7-10 ปี กลยุทธ์ Liquid+ อายุ 2-3 ปี ของเรายังคงมีความเหมาะสมในภาวะเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยง ทั้งด้าน การชะลอตัว และเงินเฟ้อ (stagflation) ขณะที่ตราสารหนี้ High Yield (HY) เรายังคงมีมุมมองระมัดระวัง เนื่องจากความเสี่ยงด้านการขยายตัวของส่วนต่าง อัตราผลตอบแทน (credit spread widening)

"สินทรัพย์ทางเลือก" ให้น้ำหนัก Overweight ทองคำ พร้อมเป้าหมายที่ USD 3,765 ต่อออนซ์ ภายในไตรมาส 4/68 มองหาโอกาสในสินทรัพย์นอกตลาดที่สร้างรายได้ประจำ

ทองคำยังคงได้รับประโยชน์ไม่ว่าผลลัพธ์ทางนโยบายของ “ทรัมป์ 2.0” จะออกมาในรูปแบบใดก็ตาม อีกด้านหนึ่งมาตรการลดภาษีและการผ่อนคลายกฎระเบียบของทรัมป์จะยิ่งตอกย้ำความกังวลระยะยาว เรื่องการลดค่าเงินของสหรัฐฯ (monetary debasement) ในอีกด้านหนึ่งมาตรการกีดกันทางการค้า และนโยบายที่คาดเดายากจะกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง และ กระตุ้นให้เงินทุนไหลเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ

สินทรัพย์นอกตลาด เราแนะนำให้นักลงทุนมองหาโอกาสในกลุ่มการเข้าซื้อกิจการและ Private Equity ที่มุ่งเน้นบริษัทขนาดกลางซึ่งมักมีระดับราคาซื้อขาย(valuation)ที่ไม่สูงมากจึงมีช่องว่างในการสร้างมูลค่าในระยะยาวได้มากกว่า อีกทั้งธุรกรรมกลุ่มนี้มักใช้ภาระหนี้ต่ำกว่า เมื่อเทียบกับดีลขนาดใหญ่ ถือเป็นข้อได้เปรียบในสภาพแวดล้อมที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง

จับตา "ภาษี-การเมือง" ถ่วงดัชนี

นางสาวจันทร์เพ็ญ ศิริธนารัตนกุล กรรมการบริหารอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า วางเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 2568 ที่ระดับ 1,300 จุด แต่หากไทยโดนภาษีทรัมป์ 36% หรือภาษีที่สูงกว่าประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับลงมาที่ระดับ 1,100-1,000 จุดได้

หรือหากเกิดกรณีเลวร้ายที่สุดคือ เผชิญทั้งภาษีที่สูงและการเมืองไทยเข้าสู่การยุบสภา ดัชนีมีโอกาสหลุด 1,000 จุดได้เพียงแต่นักวิเคราะห์ยังไม่ได้ประเมินถึงกรณีเลวร้ายดังกล่าว

ส่วนทิศทางอัตราดอกเบี้ยในไทยมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อีก 1-2 ครั้งในปีนี้ และ 1 ครั้งในปีหน้าส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยปี69 มีโอกาสลงมาอยู่ที่ระดับ 1% ด้านค่าเงินบาทคาดปีนี้แข็งค่าที่ระดับ 32.80 บาทต่อดอลลาร์ และปีหน้าบาทแข็งที่ระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์

ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนคงเน้นหุ้นที่ได้อานิสงส์ดอกเบี้ยขาลงและภาษีทรัมป์กระทบจำกัด ดังนี้

ห้างสรรพสินค้า CPN
กลุ่มโรงพยาบาล PR9, BDMS
กลุ่มบริโภคในประเทศ CPALL, COM7, OSP
กลุ่มสื่อสาร ADVANC
กลุ่มพลังงาน BCP, GULF
กลุ่มไฟแนนซ์ MTC
กองรีทฯ WHAIR

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก PostToday

ธอส. เผยเครึ่งปีแรก ปี68 ปล่อยสินเชื่อใหม่ 1.07 แสนล. มั่นใจทั้งปีแตะ 2.41 แสนลบ.

53 นาทีที่แล้ว

ออมสิน-ธ.ก.ส. ปล่อยกู้แก้หนี้นอกระบบแล้วกว่า 2.5 พันล้านบาท

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ผบ.ทบ.ฮึ่ม!หนุนการตอบโต้กัมพูชาปมผลสอบกับระเบิดเป็นทุ่นใหม่

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ไทยฟ้องยูเอ็น กัมพูชาละเมิดอนุสัญญาออตตาวา วางกับระเบิดช่องบก

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

GULF เตรียมออกหุ้นกู้ครั้งแรกภายใต้บริษัทใหม่ที่แข็งแกร่งขึ้น อันดับเครดิตสูงที่ AA- เสนอขายผู้ลงทุนสถาบัน ผู้ลงทุนรายใหญ่ และประชาชนทั่วไป

Manager Online

ธอส. เผยเครึ่งปีแรก ปี68 ปล่อยสินเชื่อใหม่ 1.07 แสนล. มั่นใจทั้งปีแตะ 2.41 แสนลบ.

PostToday

ออมสิน-ธ.ก.ส. ปล่อยกู้แก้หนี้นอกระบบแล้วกว่า 2.5 พันล้านบาท

PostToday

80 ปี ตำนานซอสเด็กสมบูรณ์สู่อนาคตในยุคเจนสาม l 19 ก.ค. 68 FULL l BTimes Weekend

BTimes

การบินไทย จับมือ ซัมซุง ร่วมมือเชิงกลยุทธ์ ยกระดับประสบการณ์การเดินทางผ่าน Samsung Wallet

การเงินธนาคาร

DSI เปิดลงทะเบียนผู้เสียหายกรณีชักชวนลงทุน'Zipmex' ถึง 31 ก.ค.

ฐานเศรษฐกิจ

ผอ.ออมสิน ชี้ปัญหาเศรษฐกิจไทยซึมยาว หนี้ครัวเรือนสูง สังคมสูงวัย ขีดความสามารถการแข่งขันถดถอย

MATICHON ONLINE

ททท. เปิดตัวเลข เที่ยวไทยคนละครึ่ง หมดแล้ว 2 แสนสิทธิ ชลบุรี-ประจวบฯ นำโด่ง

อีจัน

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...