ผู้ว่าฯ สุรินทร์ หวังผลเจรจาจบโดยเร็ว หากยืดเยื้อเกินสัปดาห์ ต้องของบเพิ่ม
นายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ เปิดเผยถึงกรณีพื้นที่ศูนย์พักพิงผู้ประสบภัยชั่วคราว ว่า ตอนนี้มีเพียง 1 อำเภอ จาก 17 อำเภอ ที่ยังไม่ได้มีการตั้งศูนย์พักพิง ซึ่งขณะนี้มีประชาชน 50,000 กว่ารายที่ไปอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว และไปอยู่บ้านญาติใน จ.สุรินทร์ 30,000 กว่าราย นอกจากนี้ยังมีประชาชนไปอยู่บ้านญาติในจังหวัดใกล้เคียงอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งศูนย์พักพิงที่เปิดตั้งแต่ช่วงวันแรก เข้าที่เข้าทางแล้ว แต่ยังมีบางศูนย์ที่ต้องการรับบริจาคสิ่งของ ดังนั้นจึงได้มีการกระจายสิ่งของจากศาลากลางไปยังศูนย์พักพิงต่างๆ ที่ขาดแคลน
ส่วนเงินบริจาคตอนนี้ได้ใช้เงินบริจาคจากภาคประชาชนอย่างเดียว เนื่องจากเงินราชการยังไม่ได้ใช้เพราะติดช่วงวันหยุด โดยระเบียบราชการมีเงินในการช่วยเหลือ 100 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอาหารมื้อละ 50 บาท ต่อมื้อและต่อคน จะตกวันละหลายล้านบาท นอกจากนี้ยังมีครัวสำรองหากอาการไม่เพียงพอก็สามารถนำมาเสริมได้
ทั้งนี้ไม่ได้มีการดูแลเพียงแต่ผู้อพยพแต่ยังขอความร่วมมือ กำนันฯ ผู้ใหญ่บ้าน ให้จัดชุด ชรบ. ดูแลให้พื้นที่ เรื่องทรัพย์สิน สัตว์เลี้ยง ที่นำออกมาไม่ได้ จึงต้องมีการดูแลทั้ง 2 ส่วน โดยเฉพาะการสนับสนุนเสบียง ซึ่งตอนนี้ได้มีการสอบถาม ชรบ. ในพื้นที่ ยังกำลังใจดีอยู่ และปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง หากประชาชนท่านใดจะต้องการบริจาคสิ่งของให้กับศูนย์อพยพผู้ประสบภัยสามารถบริจาคได้ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด (ศาลากลาง) และแต่ละพื้นที่ศูนย์พักพิงจะมีความต้องการของแต่ละศูนย์ที่แตกต่างกัน
สำหรับสถานการณ์ที่ จ.สุรินทร์ ยังคงมีการยิงสู้รบกันอยู่ โดยเฉพาะพื้นที่ อ.กาบเชิง โดยมีการยิงหลายระลอก แต่ยังไม่มีการรายงานการสูญเสีย ส่วนสถานการณ์โดยรวมใน จ.สุรินทร์ ยอมรับว่าประชาชนกังวลเรื่องความปลอดภัย โดยเฉพาะเรื่องการใช้ปืนใหญ่ ยิงเข้ามา ซึ่งหากมีการยิงเข้ามาจริง ฝั่งเราก็สามารถจับพิกัดได้ ขณะเดียวกันฝั่งประเทศ ทั้งสหรัฐอเมริกาและประเทศอาเซียน มีการบีบให้เจรจากันแล้ว ตนเองจึงมองว่าสถานการณ์จะไม่นำไปสู่จุดนั้น แต่อย่างไรก็ตามเราก็จะไม่ประมาท โดยเฉพาะจุดเสี่ยงที่มีการเฝ้าระวังตลอด และบางจุดส่วนราชการอาจจะมีการไปทำงานที่อื่น ดังนั้นขอให้ไม่ตื่นตระหนก แต่ขณะเดียวกันก็อย่าประมาทด้วยเช่นกัน
กรณีที่มีประกาศด่วนที่สุดโดยผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ประกาศให้จังหวัดสุรินทร์เป็นภัยสงครามเป็นจังหวัดแรก พร้อมยกระดับเทียบเท่าประกาศภัยพิบัติ น้ำท่วม และแผ่นดินไหว เพื่อให้ดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชาได้อย่างใกล้ชิดนั้น
ล่าสุด นายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ให้สัมภาษณ์กรณีดังกล่าว ว่า ประกาศดังกล่าวไม่ใช่คำว่า “ภัยพิบัติสงคราม” แต่เป็นการประกาศเขตผู้ประสบภัยพิบัติฉุกเฉิน (กองกำลังจากนอกประเทศ) โดยย้ำชัดว่า “ไม่ใช่สงคราม” ก่อนจะขยายความว่า การประกาศภัยพิบัติฉบับนี้ จัดทำขึ้นเพื่อ ความสะดวกต่อการใช้งบประมาณแผ่นดิน ตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินพ.ศ. 2562 ซึ่งหากจะประกาศยกระดับเป็นภัยสงคราม จะต้องมีการนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้สภาฯ มีมติเห็นชอบ 2 ใน 3 ของสภา และใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการประกาศสงคราม
ผู้ว่าฯ จ.สุรินทร์ กล่าวอีกว่า การใช้งบประมาณสำหรับการประกาศภัยฉุกเฉินดังกล่าว รัฐบาลมีมติอนุมัติงบฉุกเฉิน 100 ล้านบาท และมีงบจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเราใช้ไปแล้ว 3 วันแรก จากนั้น จังหวัดได้จัดสรรงบให้แต่ละอำเภอดูแลประชาชน
ผู้ว่าฯ จ.สุรินทร์ กล่าวถึงภาพรวมในจังหวัด ว่า ขณะนี้ยังมีการยิงสู้รบกันตามแนวชายแดน ในอำเภอกาบเชิง และยังไม่มีรายงานการสูญเสียแต่อย่างใด เมื่อถามถึงกรณีที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อเจรจากับ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มีความคาดหวังต่อการเจรจาในครั้งนี้อย่างไร ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ขอตอบแทนพี่น้องประชาชนว่า เนื่องจากเมื่อวานนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้ลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งพี่น้องประชาชนก็ได้สื่อสารว่าอยากให้เหตุการณ์จบโดยเร็ว
ส่วนตนเองก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากพี่น้องประชาชน การมาอยู่ศูนย์พักพิง คงไม่สะดวกเท่าการอยู่บ้าน เป็นห่วงบ้าน ทรัพย์สิน นอนไม่ค่อยหลับ และก็อยากให้จบเร็ว ก่อนจะเล่าย้อนข้อมูลเหตุปะทะชายแดนเมื่อปี 2554 ซึ่งปีนั้นใช้เวลาปะทะ 12 วัน แต่ไม่ใช่ 12 วันแล้วอพยพกลับทันที ต้องคอให้จบอย่างแน่นอนก่อน และครั้งนี้อยากให้จบเร็วกว่า 12 วัน และการปะทะกันเมื่อปี 54 ก็ไม่รุนแรง และยิงกันตลอดทั้งวันทั้งคืนเหมือนปีนี้ พร้อมย้ำว่า อยากให้เข้าสู่การเจรจา และจบให้เร็ว และหวังว่าไม่อยากให้เกิน 1 สัปดาห์ ซึ่งหากเกินก็จะต้องขอเงินจากรัฐบาลเพิ่ม และเราไม่ได้ดูแค่ผู้อพยพ ยังดูถึงผู้นำชุมชน และชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ที่อยู่ดูแลทรัพย์สินในหมู่บ้านด้วย
กรณีที่มีครูในพื้นที่ต้องเข้าเวรดูแลศูนย์พักพิงผู้ประสบเหตุจากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทยกัมพูชา ซึ่งมีเสียงสะท้อนในโลกออนไลน์ทำนองว่าเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัย โดยระบุว่า การให้ครูอยู่ตามศูนย์อพยพหรือศูนย์พักพิง เป็นเรื่องจริง เนื่องจากมีศูนย์พักพิงหลายที่ตั้งอยู่ในโรงเรียน จึงจำเป็นต้องให้ครูและผู้บริหารสถานศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมในคณะทำงาน เพื่อดูแลสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ระบบไฟฟ้า รวมถึงความเรียบร้อยของสถานที่ในฐานะเจ้าของพื้นที่
นายชำนาญ กล่าวต่อว่า คณะทำงานประจำศูนย์ประกอบด้วยตัวแทนจากหน่วยงานท้องถิ่น เช่น ปลัดอำเภอ, กำนัน, ผู้ใหญ่บ้าน และผู้บริหารโรงเรียน โดยมีนายอำเภอเป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ และพิจารณาคัดเลือกบุคลากรตามความเหมาะสม
ทั้งนี้ในหลายกรณี ทางโรงเรียนได้จัดครูมาเวรเกินจำนวนที่กำหนดตามประกาศของอำเภอ ซึ่งบางส่วนมาด้วยความสมัครใจ แต่ก็มีบางรายที่รู้สึกว่าเป็นการปฏิบัติงานในวันหยุด และอาจคาดหวังค่าตอบแทน เช่น ค่าโอที นายชำนาญ มองว่า ก็ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกและความร่วมมือของแต่ละบุคคล และหากศูนย์พักพิงไม่ได้ตั้งอยู่ในโรงเรียน ก็จะไม่มีความจำเป็นต้องให้ครูอยู่เวร แต่หากใช้สถานศึกษาก็จำเป็นต้องมีบุคลากรจากโรงเรียนร่วมดูแล ส่วนจำนวนครูที่ต้องเข้าเวรในแต่ละศูนย์จะขึ้นอยู่กับลักษณะพื้นที่และการจัดการเฉพาะจุด
สำหรับโรงเรียนที่ปิดการเรียนการสอนชั่วคราวตามแนวทางของกระทรวงศึกษาธิการ ก็อาจไม่จำเป็นต้องมีการเฝ้าประจำตลอดเวลา แต่สามารถแวะเวียนไปตรวจสอบเป็นระยะได้ โดยจะพิจารณาตามความปลอดภัยของพื้นที่และระดับความรุนแรงของสถานการณ์
นายชำนาญ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ที่ดูแลพื้นที่ส่วนหลังจะมีทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) โดยทั้งหมดมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในเขตรับผิดชอบ ไม่เฉพาะในหมู่บ้าน แต่รวมถึงวัดและโรงเรียนด้วย ซึ่งสุดท้ายแล้ว ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้บริหารสถานศึกษาแต่ละแห่งว่าจะจัดเวรครูในลักษณะใด.