ภาษีทรัมป์ สะเทือน ITC ครึ่งหลังปี 68
เส้นทางนักลงทุน
การบังคับใช้ภาษีศุลกากรนำเข้าของสหรัฐฯ กับไทย (tariff tax rate) ในอัตรา 36% น่าจะส่งผลกระทบทางลบต่อ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC ผู้รับจ้างผลิตและจัดจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยง ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 นี้ เนื่องจาก ITC มีลูกค้าหลักเป็นสหรัฐฯ กว่า 60% ขณะที่มีรายได้จากการขายในเอเชียและภูมิภาคโอเชียเนีย มีสัดส่วน 28% ที่เหลือเป็นยุโรป 12%
แม้รัฐบาลไทยจะมีความหวังว่าจะสามารถเจรจาให้อัตราจัดเก็บภาษีดังกล่าวปรับลดลงมา แต่ผลกระทบของ tariff tax rate ก็อาจกดดันยอดขายสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของ ITC ให้ลดลงจากเดิมโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าพรีเมียม (Premium product)
มีการประเมินกันว่า กรณีที่เลวร้ายที่สุด หรือ Worst case อาจจะทำให้ปริมาณขายทั้งหมดของ ITC ในปี 2568 นี้ เติบโตเพียง 1.35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมทั้งจะกดดันอัตราการทำกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) เหลือ 12.13% และอัตราการทำกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) เหลือ 19.57% ในกรณีที่ไทยได้รับอัตราภาษีที่สูงมากกว่าประเทศคู่แข่ง
แต่หากไทยประสบความสำเร็จในการเจรจารอบใหม่ ได้รับอัตราภาษีใกล้เคียงกับคู่แข่ง ถือเป็น Base case นั้น ปริมาณขายจะยังคงเติบโต 4.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน จะทำให้มี Net Profit Margin อยู่ที่ 14.15% และ Gross Profit Margin อยู่ที่ 21.75% เทียบกับ 19.52% และ 27.7% ในปี 2567 ตามลำดับ
แต่หากไทยประสบความสำเร็จอย่างมากในการเจรจารอบใหม่ ได้รับอัตราภาษีน้อยกว่าคู่แข่ง หรือ Best case จะทำให้ปริมาณขายโต 13% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มี Net Profit Margin ที่ 16.7% และ Gross Profit Margin ที่ 24.5%
บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ ชี้ว่า กำไรของ ITC ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 นี้ จะสามารถเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก หากเป็นกรณี Best Case คือ หากการเจรจาภาษีระหว่างไทยและสหรัฐฯ ได้น้อยกว่าคู่แข่ง
ทั้งนี้คาดกำไรในงวดครึ่งปีแรกไว้ที่ 1.44 พันล้านบาท ลดลง 21.2% จากงวดเดียวกันปีก่อน เนื่องจากแรงกดดันของอัตราการทำกำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 25.3% ในไตรมาส 2 ปีนี้ จากต้นทุนปลาทูน่าที่เพิ่มขึ้น 13% เป็น เฉลี่ยที่ 1,588 ดอลลาร์ต่อตัน นอกจากนี้ Product mix ยังแย่ลง แม้สัดส่วนสินค้า Premium จะทรงตัวที่ 48.7% และการบันทึกรับรู้ภาษีเงินได้นิติบุคคลขั้นต่ำ (GMT) ในอัตรา 15%
สำหรับมุมมองของบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินกำไรปกติไตรมาส 2 ที่ 725 ล้านบาท ลดลง 35% จากปีก่อน แต่ดีขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน เพราะถึงรายได้จะชะลอลง แต่กลับมาดีขึ้น เมื่อเทียบไตรมาสก่อน จากการจัดการรายการสินค้า หรือ inventory ของลูกค้ายุโรปดีขึ้น นอกจากนี้ ปัจจัยฤดูกาล รวมถึงคำสั่งซื้อลูกค้าสหรัฐฯ ยังเป็นไปตามปกติ ไม่มีสัญญาณชะลอ หรือ เร่งคำสั่งซื้อกว่าปกติก่อนมาตรการ tariffs อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามมาตรการ tariffs ที่มีโอกาสเห็นผลกระทบมากขึ้นในครึ่งหลังปีนี้
เช่นเดียวกับบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ ซึ่งคาดกําไรไตรมาส 2 ไว้ที่ 731 ล้านบาท โต 8.1% จากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 27.3% จากงวดปีก่อน โดยคาดการณ์รายได้ที่ 4.48 พันล้านบาท คาด Gross Margin 24% และคาดปริมาณการขายจะโตจากกลุ่มลูกค้ายุโรป
สำหรับผลกระทบของ tariffs ยังไม่เกิดขึ้น แต่กลุ่มลูกค้าจากสหรัฐฯ ยังคงติดตาม หรือ Wait and See เพื่อรอความชัดเจนของมาตรการจากทางสหรัฐฯ ขณะที่ผลกระทบจากมาตรการ GTM จะส่งผลทั้งปี 2568 อยู่ที่ 4-6% ดังนั้นจึงประเมินกำไรปีนี้ไว้ที่ 3 พันล้านบาท มีรายได้ที่ 1.88 หมื่นล้านบาท สูงขึ้น 6% จากปีก่อน
“ข่าวหุ้นธุรกิจ” สำรวจมุมมองของโบรกเกอร์แต่ละสำนัก พบว่า แม้ ITC จะเผชิญกับผลกระทบจาก tariff tax rate แต่ยังคงมีคำแนะนำให้ “ซื้อ” และ “ถือ” ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน คาด P/E ปี 2568 สูงสุดที่ 15.26 เท่า ต่ำสุดที่ 11.36 เท่า ขณะที่มี P/BV สูงสุดที่ 1.53 เท่า ต่ำสุดที่ 1.34 เท่า ซึ่ง ITC จะสามารถสร้างผลตอบแทนในรูปปันผลได้ 4.17-7.75% โดยมีราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 25.25 บาท ต่ำสุดที่ 11.80 บาท
สำหรับในปี 2569 คาด P/E สูงสุดที่ 13.50 เท่า ต่ำสุดที่ 10 เท่า ขณะที่มี P/BV สูงสุดที่ 1.49 เท่า ต่ำสุดที่ 1.22 เท่า ซึ่ง ITC จะสามารถสร้างผลตอบแทนในรูปปันผลได้ 4.35-7.83%
สถานการณ์ของ ITCในครึ่งหลังของปี 2568 ยังต้องติดตาม โดยเฉพาะผลกระทบจากการบังคับใช้ภาษีศุลกากรนำเข้าของสหรัฐฯ กับไทย