ลูกชายป่วยจิตเวช ฆ่าแม่หมกศพในห้องน้ำ ก่อนมอบตัว
สำนักข่าวไทย Online
อัพเดต 5 สิงหาคม 2568 เวลา 4.09 น. • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • สำนักข่าวไทย อสมท4 ส.ค. – สลด! ลูกชายวัย 33 ปี ป่วยจิตเวช ฆ่าแม่วัย 73 ปี หมกศพในห้องน้ำ ใช้ผงปูนโรยดับกลิ่น ก่อนสำนึกผิดเข้าแจ้งความ อ้างสาเหตุจากความเครียด
ตำรวจ สน.ร่มเกล้า ตรวจสอบบ้านพักในซอยเคหะร่มเกล้า 27 แยก 7-2 แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง หลังรับแจ้งจากนายบอย ผู้ป่วยจิตเวช วัย 33 ปี ว่าลงมือฆ่าแม่ของตัวเอง ก่อนหมกศพไว้ภายในห้องน้ำ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบร่างของนางสาววรนันท์ อายุ 73 ปี อยู่ในอ่างน้ำ สภาพถูกทับถมด้วยเสื้อผ้าและผงปูนซีเมนต์ คาดว่าเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 วัน
ชาวบ้านเล่าว่า ผู้ตายเคยขายลอตเตอรี่แต่ถูกโกงเลยเลิกขาย มีเงินคนชราใช้เป็นรายเดือน พักอาศัยอยู่กับลูกคนมาได้ 3 ปีแล้ว ที่ผ่านมาไม่เคยได้ยินเรื่องราวว่าสองแม่ลูกทะเลาะกันแต่อย่างใด ทราบเพียงว่าลูกชายป่วยจิตเวช แต่ไม่เคยมีอาการอาละวาดหรือก่อความรุนแรง โดยปกติจะเห็นผู้ตายเดินออกมากดน้ำดื่มอยู่เป็นประจำแต่ไม่เห็นมาประมาณ 3-4 วันแล้ว
ร.ต.อ.สุขุม พุทธรรมรินทร์ พนักงานสอบสวน สน.ร่มเกล้า เปิดเผยว่า ระหว่างอยู่เวร ปฏิบัติหน้าที่พนักงานสอบสวน นายบอย ผู้ก่อเหตุ เดินเข้ามาที่โรงพัก แล้วบอกว่าตนเองฆ่าแม่ตาย ทิ้งศพไว้ในถังน้ำในห้องน้ำภายในบ้าน ตอนแรกไม่เชื่อ นึกว่าพูดเล่น แต่เพื่อความแน่ใจจึงประสานให้ตำรวจสายตรวจไปตรวจสอบ พบว่าในถังน้ำนั้นมีพิรุธ เพราะมีเสื้อผ้าปูนทับถมอยู่ จึงประสานเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาตรวจสอบก็พบว่ามีศพอยู่ด้านในจริง
พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 3 เปิดเผยว่า หลังจากนายบอยไปแจ้งตำรวจว่าฆ่าแม่ของตนเอง ได้ควบคุมตัวไว้ จากการสอบถามเบื้องต้นสาเหตุอาจมาจากความเครียด เพราะผู้ตายต้องคอยหาน้ำหาข้าวให้ลูกชายอยู่ตลอดเวลา นายบอยบอกว่าใช้มือบีบคอแม่จนเสียชีวิต จากนั้นอำพรางด้วยการนำร่างของแม่ใส่ในอ่างน้ำ แล้วนำเสื้อผ้าไม่ต่ำกว่า 50 ชิ้น มาวางบนร่าง ก่อนเทผงปูนซีเมนต์ลงไปในถังเพื่ออำพรางกลิ่น ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวนอย่างละเอียด
จากการตรวจสอบพบว่านายบอยไม่เคยมีประวัติใช้ยาเสพติด และไม่เคยก่อเหตุรุนแรง แต่มีประวัติรักษาอาการป่วยจิตเวช ซึ่งในบอยยังอยู่ในการควบคุมตัวของตำรวจ ตามขั้นตอนแล้วต้องส่งตัวไปตรวจร่างกาย เพื่อให้แพทย์ลงความเห็นว่าป่วยเป็นจิตเวชหรือไม่ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนตามกฎหมายต่อไป.-สำนักข่าวไทย