พลิกโฉมไทย AI ล้างบาง“คอร์รัปชัน” ระบบอัจฉริยะปิดตายทุกช่องทางโกง
ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาประเทศไทยมีการทุจริตคอร์รัปชันมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีการรณรงค์ให้คนในสังคมร่วมกันต่อต้านคอร์รัปชัน แต่ก็ดูเหมือนว่ายังมีช่องโหว่ให้คนโกงยังสามารถ ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่มิชอบเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้องได้อยู่ทั้งในภาครัฐและเอกชน
ส่งผลให้กลายเป็นสิ่งกัดกร่อน ความโปรงใส่ เป็นธรรม และขัดขวางการพัฒนาประเทศ ให้เจริญก้าวหน้าสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วของประเทศไทยมายาวนาน
ซึ่งจากข้อมูลของ องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International: TI) ที่ได้ เผยแพร่ดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) ประจำปี 2567 โดยมีประเทศที่ถูกจัดอันดับทั้งสิ้น 180 ประเทศ นั้น ประเทศไทยได้ 34 คะแนน รั้งอันดับที่ 107 ซึ่งคะแนนลดลงจากปีก่อน 2566 ที่ได้ 35 คะแนน แต่อันดับเพิ่มขึ้นจากที่ได้อันดับ 108 ข้อมูลดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยยังมีปัญหาในเรื่องนี้อยู่มาก
ทั้งนี้ในงานเสวนา Corruption Disruptors: Empowering AI to Fight Corruption” ที่มีการร่วมพลังนักวิชาการ ข้าราชการ และผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ได้มีการพูดถึงการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาใช้เพื่อต่อต้านการคอร์รัปชัน
โดยได้มีการถอดบทเรียนการใช้ AI ต่อต้านคอร์รัปชัน พร้อมชูแนวคิด “Integrity by Design” สร้างระบบไม่เอื้อต่อการโกง พร้อม เสนอเปิดข้อมูลภาครัฐอย่างเป็นระบบเพื่อขับเคลื่อนความโปร่งใสอย่างยั่งยืน
ในเวทีเสวนาได้เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้และแนวคิดจากผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และการต่อต้านคอร์รัปชันทั้งในและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยี AI เป็นเครื่องมือป้องกันและตรวจจับการทุจริตอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ AI เป็นเครื่องมือช่วยให้เป็น “จุดเปลี่ยนสังคมไทย สู่สังคมไร้คอร์รัปชัน”
ในการปาฐกถาโดย Ms. Elodie Beth Seo ผู้จัดการอาวุโสจาก องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) บอกว่า เทคโนโลยี AI แม้จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาระบบ แต่ก็สามารถถูกใช้ในทางที่ผิด เช่น การฟอกเงินผ่านคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งปัจจุบันกว่า 23% ของธุรกรรมที่เกี่ยวข้องเป็นธุรกรรมผิดกฎหมาย
ในปัจจุบันหลายประเทศได้นำ AI มาช่วยเสริมการทำงานภาครัฐ เช่น เกาหลีใต้ ใช้ระบบจัดซื้อจัดจ้างอิเล็กทรอนิกส์ (KONEPS) ส่วนบราซิล พัฒนาแพลตฟอร์ม LabContus เพื่อตรวจสอบความผิดปกติ ขณะที่ สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลเรียลไทม์ ตรวจจับพฤติกรรมต้องสงสัย ฮ่องกง เปิดหลักสูตรอบรมเจ้าหน้าที่รัฐให้ใช้ AI ต้านโกง และ อินโดนีเซีย ใช้ระบบ One Data Indonesia ร่วมมือเปิดเผยและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐ
ส่วนในประเทศไทย ทาง OECD เริ่มกระบวนการร่วมมือกับประเทศไทยแล้ว โดยจับมือกับ World Justice Project โดยมียกตัวอย่างความก้าวหน้าของไทย เช่น แพลตฟอร์ม ACT AI ที่เชื่อมโยงข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐกับข้อมูลนิติบุคคล และรายชื่อผู้มีอิทธิพลทางการเมือง (PEPs) เพื่อคัดกรองความเสี่ยงการทุจริต เป็นต้น
อย่างไรก็ตามทางผู้บริหารของ OECD มองว่าประเทศไทย ยังมีจุดหรือสิ่งที่ต้องพัฒนาเพิ่มเติม หาต้องการขจัดการ คอร์รัปชัน ให้ลดน้อยหรือหมดไปจากสังคมไทย เช่น 1.เสริมความโปร่งใสในกระบวนการทำงาน 2. ผลักดันการเปิดข้อมูล (Open Data) ที่ให้ทุกภาคส่วนเข้าถึงได้อย่างโปร่งใส 3. พัฒนากฎหมายการลงโทษสินบน ให้เข้มข้นมากขึ้น 4. ลดความซ้ำซ้อนของหน่วยงานตรวจสอบ และ 5. ส่งเสริมความร่วมมือภายในและระหว่างประเทศ
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน มุมมองและความคิดเห็นที่หลากหลาย โดยทาง ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) บอกว่า ACT AI ถือเป็นจุดเริ่มต้นของระบบตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ แต่จะทำงานได้ต้องมีฐานข้อมูลที่ดี เปิดเผย และบูรณาการร่วมกันทุกภาคส่วน ซึ่งแพลตฟอร์ม ACT AI จะเข้ามาช่วยตรวจสอบวิเคราะห์ความถูกต้องของกรณีการทุจริตคอรัปชั่น แม้หลายคนจะพูดว่าระบบ AI เข้ามาช่วยทำให้โจรทำงานง่ายขึ้น แต่ สิ่งที่ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องทำ คือ การใช้ AI ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ในอีกมุมมองนั้น ทาง รศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ผู้อำนวยการศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค หรือ KRAC บอกว่า หากต้องการให้ AI ทำงานได้จริง ต้องทำให้ข้อมูลจากทุกหน่วยงานเชื่อมโยงกันได้ มาตรฐานเดียวกัน และเข้าถึงง่าย นอกจากนี้ ยังต้องเป็นข้อมูลที่มีความเป็นมาตรฐาน โดยการบูรณาการการทำงานของแต่ละหน่วยงานเข้าด้วยกัน เพื่อให้การใช้ AI ได้ประโยชน์สูงสุด
ขณะที่ตัวแทนจากเอกชน นายพันธ์ศักดิ์ เสตเสถียร Risk Partner ของ ไพรซ์วอเทอร์เฮาส์คูเปอส์ ไทนแลนด์ (PwC Thailand) ให้ความเห็นว่า เรื่อง Data Governance หรือการกำกับดูแลข้อมูล คือหัวใจของการใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องเปิดเผย อัพเดต และเข้าถึงได้ทุกคน โดยต้องมีกฎกติกาการใช้ข้อมูล ที่มีธรรมาภิบาลมีความโปร่งใส ข้อมูลต้องมีความสอดคล้องซึ่งกันและกัน และต้องมีหลายมิติ
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลไม่มีใครเป็นเจ้าของ ข้อมูลคือ ทรัพยากรของชาติ (National Resources) มันคือ Open Data ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และ Data Governance ต้องถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้ เพื่อการป้องกันการทุจริตคอรัปชั่นในสังคม
ส่วน Ms.LAMINI ตัวแทนจาก KPK อินโดนีเซีย ได้ยกตัวอย่างกรณีของอินโดนีเซีบ โดย “One Data Indonesia” ที่ช่วยให้หน่วยงานรัฐสามารถแชร์ข้อมูลเพื่อป้องกันการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อจัดจ้าง เรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สิน หรือการระบุทรัพย์สินที่ผิดปกติ
อย่างไรก็ตาม ทาง ศาสตราจารย์ (พิเศษ) ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) บอกว่า การ “จับคนโกง” อย่างเดียวไม่พอ จะต้องออกแบบระบบไม่ให้โกงได้ตั้งแต่ต้นทาง หรือที่เรียกว่า “Integrity by Design” ที่จะช่วยให้การแก้ปัญหาได้มีประสิทธิภาพ โดยตัวอย่างของความสำเร็จที่เห็นได้นั้น เช่น นโยบาย Open Government สมัยประธานาธิบดี บารัค โอบามาของสหรัฐฯ ที่เปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย โดยขอเสนอให้ไทยนำแนวคิดนี้มาปรับใช้ เช่น การปลดล็อกข้อมูลภาครัฐในรูปแบบที่วิเคราะห์ได้ เป็นต้น
การแก้ปัญหาเรื่อง “คอร์รัปชัน” คงไม่สามารถเปลี่ยนได้เพียงชั่วข้ามคืน การเปลี่ยนแปลงต้องมีความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพราะเรื่องการเปลี่ยนแปลงระดับนโยบายต้องใช้เวลา แต่อย่างน้อยจุดเริ่มต้นที่มาจากพลังจากทุกคนในสังคม จะเป็นกลไกที่เร่งขับเคลื่อนให้การแก้ปัญหาประสบความสำเร็จได้ หากทุกฝ่ายเร่งสร้างระบบที่รัดกุม ที่โกงไม่ได้ตั้งแต่แรก
สังคมที่โปรงใส ไม่มีทุจริต คอร์รัปชัน ต้องเริ่มที่ตัวเราก็จะช่วยให้สังคมไทยใสสะอาดขึ้นได้!?!
จิราวัฒน์ จารุพันธ์