7ข้อตกลงหย่าศึก แม่ทัพ2ฝ่ายเห็นพ้อง/ไทยประท้วงเขมรละเมิดยิงถึงเช้า
สันดานเขมร “ฮุน เซน” โพสต์เชลียร์ทรัมป์ออกนอกหน้า แต่คล้อยหลังทหารกัมพูชาละเมิดข้อตกลงยิงถล่มไทยหลายจุด ที่ศรีสะเกษหยุดเมื่อ 05.30 น. เศร้า! ทหารหาญเสียชีวิตเพิ่มอีก 4 นาย ยอดรวม 15 นายเท่ากับพลเรือน แม่ทัพ 2 ประเทศเจรจาตกลงร่วมกัน “หยุดยิง-หยุดทำร้ายชาวบ้าน-ห้ามเสริมหรือเคลื่อนกำลัง” “ภูมิธรรม” ลิ้นพันแจงเรื่องอ่อนข้อเจรจา ออกแถลงการณ์ขึงขังไม่ให้อธิปไตยไทยถูกล่วงล้ำไม่ว่ากรณีใดๆ อิ๊งค์บอกไม่แปลกใจเขมรไม่สุภาพบุรุษ “ศบ.ทก.” ยันไทยยึดพื้นที่ได้เบ็ดเสร็จ 11 จุด ก่อนหยุดลั่นกระสุน
เมื่อวันอังคารที่ 29 ก.ค.2568 ยังคงมีความต่อเนื่องหลังจากประเทศไทยและกัมพูชาได้ตกลงหยุดยิงอย่างไม่มีเงื่อนไขในเวลา 24.00 น. วันที่ 28 ก.ค. หลังจากตัวแทนทั้งสองประเทศได้ตกลงกันที่ประเทศมาเลเซีย โดยมีทูตจากสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีนร่วมสังเกตการณ์
โดยในเวลา 01.30 น. สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้โพสต์เรื่องนี้ว่า เป็นความสำเร็จของความคิดริเริ่มอันโดดเด่นของท่านประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ช่วยชีวิตผู้คนนับหมื่นจากสงครามกัมพูชา-ไทย ต้องขอแสดงความขอบคุณต่อท่านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สำหรับวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของท่านในการสร้างโอกาสการหยุดยิงและสันติภาพระหว่างกัมพูชาและไทย
“ผมขอขอบคุณท่านนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ที่ได้ช่วยจัดเตรียมสถานที่ประชุมและอำนวยความสะดวกให้กับข้อตกลงหยุดยิงนี้ และขอแสดงความขอบคุณต่อมิตรสหายชาวจีนของเราสำหรับการสนับสนุน รวมถึงประเทศมิตรทุกประเทศที่ได้ให้การรับรองข้อตกลงหยุดยิงนี้ ผมขอขอบคุณประชาชนกัมพูชาและไทย รวมถึงกองกำลังทหารของทั้งสองประเทศสำหรับการสนับสนุนอย่างมั่นคงต่อกระบวนการสันติภาพนี้”
ด้าน พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก กล่าวถึงสถานการณ์เมื่อคืนช่วงกลางดึกคืนวันที่ 28 ก.ค.หลังการหยุดยิงว่า ในพื้นที่ภูมะเขือได้ถูกก่อกวนโดยฝ่ายกัมพูชา และมีการยิงปะทะตอบโต้จากทั้งสองฝ่ายจนถึงเช้า นอกจากนี้ในพื้นที่ซำแต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ยังมีการยิงปะทะกันจนถึงเวลา 05.30 น.
รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 แจ้งว่า ในพื้นที่ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.ศรีสะเกษ มีเสียงระเบิดในช่วงเวลา 03.00 น. และ 05.00 น.
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างเคร่งครัด โดยได้หยุดยิงบริเวณพื้นที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทันทีที่ถึงกำหนดเวลา ด้วยความตั้งใจจริง และยึดมั่นต่อพันธกรณีที่ได้ตกลงร่วมกันของรัฐบาลทั้งสองประเทศ แต่น่าเสียดายอย่างยิ่งเมื่อถึงกำหนดเวลาดังกล่าว ฝ่ายไทยยังตรวจพบว่าฝ่ายกัมพูชาได้ใช้อาวุธโจมตีเข้ามาในเขตแดนของไทยอยู่หลายจุด ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างจงใจ เจตนาทำลายระบบความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน กองทัพบกจึงขอประณามต่อการกระทำดังกล่าว ฝ่ายไทยจำเป็นจะต้องใช้มาตรการโต้กลับอย่างเหมาะสม ภายใต้สิทธิอันชอบธรรมในการป้องกันตนเอง ยืนยันฝ่ายไทยไม่ได้ใช้กำลังทหารเพื่อรุกราน แต่เพื่อป้องกันการรุกล้ำและรักษาอธิปไตยของชาติ ภายใต้กฎกติกาสากล
ขณะที่ พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย กล่าวเช่นกันว่า ได้รับการยืนยันว่าฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด หยุดยิงทุกพื้นที่ทันทีที่ถึงกำหนดเวลา แต่ฝ่ายกัมพูชายังคงใช้อาวุธยิงเข้ามาในเขตแดนของไทยต่อเนื่องในหลายจุด ถือเป็นการกระทำที่จงใจละเมิดข้อตกลง และบ่อนทำลายความเชื่อมั่นที่ควรมีต่อกันในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน กองทัพไทยขอประณามพฤติกรรมดังกล่าวของฝ่ายกัมพูชา และขอยืนยันว่า ไทยจำเป็นต้องใช้มาตรการโต้กลับภายใต้สิทธิในการป้องกันตนเองตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
“เมื่อเราหยุด แต่เขาไม่หยุด โลกต้องได้รับรู้ว่ากัมพูชาคือผู้ละเมิดข้อตกลงอย่างต่อเนื่อง และเป็นฝ่ายที่ไม่เคารพกติกาสากล ไม่ยึดถือข้อตกลงระหว่างประเทศใดๆ ที่ได้ประกาศไว้ในเวทีระดับโลก และเป็นภัยต่อความมั่นคงของภูมิภาคและของโลก การยอมรับพฤติกรรมเช่นนี้ เท่ากับเปิดช่องให้ความอยุติธรรมกลายเป็นบรรทัดฐานในระบบระหว่างประเทศ”
ซัดโฆษกดอกไม้หลอกตัวเองจนชิน
พ.อ.หญิงฉัตรรพี พูนศรี รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย แถลงว่า กองทัพไทยขอปฏิเสธคำแถลงการณ์ของ พล.ท.หญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ที่อ้างว่าไม่มีเสียงปืนดังขึ้นตามแนวชายแดน และทั้งสองฝ่ายได้หยุดยิงโดยสมบูรณ์ตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 28 ก.ค.2568 เพราะข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง โดยฝ่ายกัมพูชายังคงใช้อาวุธยิงเข้ามาในเขตแดนของไทยในหลายจุด หลังเส้นตายข้อตกลงหยุดยิง
“พล.ท.หญิงมาลีไม่เพียงแต่หลอกประชาชนกัมพูชา แต่ยังหลอกตัวเองจนติดกับมายาที่ตนสร้างขึ้น พฤติกรรมเช่นนี้มิใช่เพียงการบิดเบือนความจริง แต่ยังเป็นความพยายามปั้นโลกปลอม เพื่อกลบเกลื่อนการกระทำของตน และเบี่ยงเบนสายตาจากความรับผิดชอบที่ฝ่ายตนควรต้องเผชิญ กองทัพไทยขอเรียกร้องให้ พล.ท.หญิงมาลียุติพฤติกรรมลวงโลก ที่บั่นทอนความเชื่อมั่น และทำลายหลักการพื้นฐานของความร่วมมือระหว่างประเทศ และประชาคมโลกต้องไม่ปล่อยให้มายาคำพูดบดบังความจริง”
ส่วนกองทัพบกรับรายงานกำลังพลเสียชีวิตจากการสู้รบในวันที่ 28 ก.ค.ว่า มี 3 นาย คือ 1.จ่าสิบเอกธีระยุทธ สีจุ้ยจ้าย สังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารทหารราบที่ 3 2.จ่าสิบเอกอภิรมย์ ทรงพุฒิ สังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารทหารราบที่ 8 และ 3.พลทหารธีรยุทธ กระจ่างทอง สังกัดกองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 2 กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 2 นับแต่การสู้รบในวันแรกมีกำลังพลเสียชีวิตรวม 14 นาย
ในเวลา 11.45 น. กองทัพบกรายงานกำลังพลเสียชีวิตเพิ่มเติมอีก 1 นาย คือ สิบโทต่อพงษ์ พันดวง สังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 16 จากการปะทะที่ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี
ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์ถึงวันที่ 29 ก.ค. เวลา 14.00 น. หลังเวลา 00.00 น. ปรากฏการณ์คุกคามของกัมพูชาใน 7 เหตุการณ์ คือ 1.พื้นที่ช่องบก เกิดการปะทะด้วยปืนเล็กที่เนินโนเนมทางทิศตะวันตกช่องบก 2.พื้นที่ช่องอานม้า เวลา 05.00 น. เกิดการปะทะด้วยอาวุธยิงสนับสนุน สิ้นสุดในเวลา 09.00 น. 3.พื้นที่ซำแต เกิดการปะทะฝ่ายเราสามารถควบคุมพื้นที่เอาไว้ได้ 4.พื้นที่ช่องตาเฒ่า ตรวจพบการนำยานพาหนะพร้อมกำลังพลเคลื่อนย้ายเข้ามาในพื้นที่ 5.พื้นที่ภูมะเขือ กัมพูชายังคงลาดตระเวนโดยรอบภูมะเขือ และใช้อาวุธวิถีโค้งโจมตีในช่วงเวลา 01.00 น. 6.พื้นที่ปราสาทตาควายและประสาทตาเมือน ทั้งสองฝ่ายยังคงวางกำลังควบคุมพื้นที่ และ 7.ตรวจพบอากาศยานไร้คนขับไม่ทราบฝ่าย บินอยู่เหนือที่ตั้งทางทหาร และสนามบินตามแนวชายแดนหลายแห่ง
สำหรับการอพยพประชาชนนั้นมีการอพยพประชาชนใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย จ.บุรีรัมย์ อพยพเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือน 1 จุด 14,551 คน, จ.สุรินทร์ อพยพเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือน 92 จุด 54,114 คน, จ.ศรีสะเกษ อพยพเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือน 187 จุด 47,521 คน และ จ.อุบลราชธานี อพยพเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือน 68 จุด 21,812 คน ปัจจุบันการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยเข้าพื้นที่รวบรวมพลเรือนแล้ว 137,998 คน (เพิ่มขึ้น 18,926 คน)
ด้าน นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข รายงานข้อมูลผู้ได้รับผลกระทบ (ฝั่งพลเรือน) ว่า พลเรือนเสียชีวิต 15 ราย บาดเจ็บสาหัส 12 ราย บาดเจ็บปานกลาง 13 ราย และบาดเจ็บเล็กน้อย 13 ราย รวม 53 ราย ปัจจุบันรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล 14 ราย
ต่อมาเพจกองทัพบกทันกระแสได้ประกาศปักธงชาติไทย ภูมะเขือ ช่องอานม้า ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย แนวเขตแดนช่องบก พร้อมชี้ว่าพื้นที่ดังกล่าวสถาปนาความมั่นคงได้เรียบร้อย
ส่วน พล.อ.ท.ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ ระบุว่า ทอ.ได้ปฏิบัติภารกิจสนับสนุนกองทัพบกอย่างต่อเนื่อง ระหว่างวันที่ 24-28 ก.ค.2568 โดยได้จัดกำลังทางอากาศจากฝูงบิน F-16 และ Gripen เข้าสนับสนุนภารกิจภาคพื้น ในลักษณะการโจมตีเป้าหมายทางทหาร ที่เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของไทยอย่างแม่นยำ โดยเฉพาะการทำลายคลังอาวุธและศูนย์ควบคุมการรบของฝ่ายตรงข้าม
แม่ทัพ 2 ฝ่ายเห็นชอบ
สำหรับการหารือของแม่ทัพของทั้ง 2 ประเทศ ที่เดิมนัดกันในเวลา 07.00 น. ได้เลื่อนมาเป็น 10.00 น. โดย พล.ต.วินธัยแถลงผลการหารือน 3 พื้นที่ว่า การประชุมหารือระหว่างกองทัพภาคที่ 1 กับ ภูมิภาคทหารที่ 5 (ฝ่ายกัมพูชา) จัดขึ้นที่จุดผ่านแดนถาวรคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบให้งดเคลื่อนไหวกำลัง เพื่อหลีกเลี่ยงความหวาดระแวง ระหว่างรอผลการประชุมจีบีซีวันที่ 4 ส.ค.2568 และให้ผู้นำแต่ละระดับสามารถติดต่อกันโดยตรงได้เมื่อมีเหตุจำเป็น
ส่วนการประชุมหารือระหว่างกองทัพภาคที่ 2 กับภูมิภาคทหารที่ 4 (ฝ่ายกัมพูชา) จัดขึ้นที่จุดผ่านแดนช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบร่วมกันดังนี้ 1.ให้ยุติการยิงโดยทันที 2.ห้ามใช้กำลังหรืออาวุธต่อประชาชน 3.งดเสริมกำลัง 4.ห้ามเคลื่อนย้ายกำลังในลักษณะที่อาจสร้างความเข้าใจผิด 5.การอำนวยความสะดวกในการส่งกลับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจากเหตุปะทะ 6.จัดตั้งชุดประสานงานระดับพื้นที่ และ 7.ให้กำลังทุกส่วนลดการเผชิญหน้าทุกรูปแบบและรอผลหารือของที่ประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) ไทย-กัมพูชา วันที่ 4 ส.ค. เพื่อให้ข้อตกลงได้รับการรับรองและมีผลบังคับใช้ทั้งสองประเทศ
“ส่วนผลการประชุมออนไลน์ของกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) กับภูมิภาคทหารที่ 3 (ฝ่ายกัมพูชา) ผลสรุปการประชุมเป็นไปในแนวทางเดียวกันกับในพื้นที่ของกองทัพภาคที่ 1” พล.ต.วินธัยกล่าว และว่า สถานการณ์ตามแนวชายแดนล่าสุดตั้งแต่ก่อนช่วงการประชุมทั้ง 3 พื้นที่ได้หยุดยิงตลอดแนวเป็นที่เรียบร้อย
แหล่งข่าวกองทัพบกแจ้งว่า ระหว่างที่ทหารไทยเข้าควบคุมพื้นที่ซำแต จ.ศรีสะเกษ ทหารฝ่ายไทยได้ควบคุมตัวทหารเขมร 18 นาย เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 2 นาย พร้อมอาวุธปืน โดยทหารกลุ่มดังกล่าวยอมจำนน วางอาวุธ ไม่ขัดขืน ส่วนขั้นตอนหลังจากนี้ต้องรอให้กองทัพบกชี้แจงต่อไป
รายงานข่าวจากหน่วยความมั่นคงทางทหารจันทบุรี-ตราดแจ้งว่า ได้เชิญตัวนายคึม เอือน อายุ 43 ปี สัญชาติกัมพูชา ที่ถือวีซ่า NON-LA ซึ่งต้องสงสัยว่าเป็นสายลับทหารกัมพูชา โดยหลังการสอบสวนเจ้าตัวรับสารภาพว่าเป็นทหารหน่วยข่าวของกองทัพกัมพูชาเข้ามาสอดแนมหาข่าว
สำหรับบรรยากาศในพื้นที่นั้น โดยเฉพาะที่ช่องสายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ซึ่งมีการปะทะกันดุเดือดต่อเนื่อง แม้เลยเวลาหยุดยิงแล้ว แต่ชาวบ้านที่ศูนย์พักพิงสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิตก็ระบุว่ารู้สึกดีใจที่เจรจาหยุดยิง เพราะไม่อยากให้ทั้งทหารและประชาชนเกิดการสูญเสียอีก แต่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่เชื่อใจกัมพูชา เพราะตลอดการสู้รบที่ผ่านมากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน และเปรียบกัมพูชาเหมือนชาวนากับงูเห่าที่พร้อมจะแว้งกัดตลอดเวลา
ทั้งนี้ นายปิยะ ปิจนำ ผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ ในฐานะผู้อำนวยการจังหวัด ได้ลงนามในประกาศกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดบุรีรัมย์ ลงวันที่ 29 ก.ค. ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย (ภัยกองกำลังจากนอกประเทศ) พักอาศัยในศูนย์พักพิงหรือสถานที่ปลอดภัยจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย โดยขอให้ประชาชนงดเดินทางกลับภูมิลำเนาพื้นที่ใกล้ชายแดนจนกว่าจะมีประกาศจากทางราชการ
ส่วนความเคลื่อนไหวในส่วนกลางนั้น นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกฯ กล่าวถึงกรณีไทย-กัมพูชายังมีการปะทะเป็นระยะ แม้จะเลยเวลาหยุดยิงว่า ยอมรับว่ายังมีอะไรที่สื่อสารกันไม่ได้ทั้งหมด เนื่องจากมีการอยู่ตลอดทั้งแนวแนวชาย 800 กิโลเมตร ซึ่งแต่เดิมพูดคุยกันว่าจะหยุดยิงกันในเวลา 18.00 น. แต่ขยายมาเป็น 00.00 น. ทั้งนี้ กองทัพไทยค่อนข้างมีวินัย แต่ฝั่งกัมพูชาเขาไม่มีความตั้งใจ เพราะทหารไม่มีวินัย เราทำหน้าที่ของเราอย่างถูกต้อง และในอนาคตต้องคุยกันต่อไป
“การหยุดยิงแบบไม่มีเงื่อนไขเพราะอยากให้จบ แต่ในรายละเอียดคงต้องพูดคุยกันอีก เพราะเราได้ชี้แจงแล้วว่า หลังจากนี้ไปเราจะพูดคุยผ่านกลไกอาร์บีซีและจีบีซี เพื่อให้ได้ข้อสรุป โดยการพูดคุยครั้งนี้ได้นำข้อเสนอของทางกองทัพบกเข้าหารือในวงเจรจาด้วย ซึ่งเป็นที่ยอมรับ แต่ต้องรอดูว่าผลที่ออกมาจะเป็นลักษณะอย่างไร และเรื่องนี้เป็นประสบการณ์และบทเรียนให้ได้เห็นว่ามีทหารเอาไว้ทำไม ชัดเจนว่าหากไม่มีทหาร เรื่องนี้คงแย่ไปมากกว่านี้” นายภูมิธรรมระบุ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนไปเจรจานายภูมิธรรมเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าการจะหยุดยิงต้องให้กัมพูชาแสดงความจริงใจด้วยการปรับกำลังและอาวุธหนักออกจากพื้นที่ แต่ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ระบุว่าการหยุดยิงต้องไม่มีเงื่อนไข ซึ่งไปเจรจากันอย่างไรถึงออกมาเป็นเช่นนี้ นายภูมิธรรมกล่าวว่า สื่อคงเข้าใจผิด สิ่งที่เราพูดเรื่องการหยุดยิงคือการให้ยุติดำเนินการ ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจบ แต่การหยุดยิงแบบไม่มีเงื่อนไขคือให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าจะหยุดยิงเมื่อไหร่ ส่วนการเจรจาหลังจากนั้น มีการกำหนดอยู่แล้วว่าให้เจรจาตามกลไก ซึ่งเป็นเรื่องที่กองทัพจะเจรจา
เมื่อถามอีกว่า หมายความว่ายังไม่หยุดยิงอย่างแท้จริงใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า เป็นไปตามขั้นตอน ถามแบบนี้จะกลายเป็นทำให้ระหองระแหงกัน ขณะนี้ต้องทำให้นานาประเทศและประชาคมโลกเข้ามาดูและสังเกตการณ์ ซึ่งการหยุดยิงเป็นมาตรฐานของเรา ที่อยากให้พูดคุยกันทั้งหมด ไม่อยากให้มีการกระทบกระเทือนถึงปัญหาระหว่างประเทศ และเรายังยึดมั่นรักษาอธิปไตยของประเทศได้
เมื่อถามว่า ฝ่ายการเมืองโยนงานให้ทหารหน้างานหรือไม่ นายภูมิธรรมเอียงศีรษะก่อนจะกล่าวว่า พูดแบบนี้เหมือนจะให้ฝ่ายการเมืองทะเลาะกับทหาร ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีการพูดคุยมาตลอด ก่อนจะไปก็พูดคุยกัน เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่การโยน แต่กองทัพอยากใช้เงื่อนไข ดังนั้นจะให้กองทัพเป็นคนตัดสินใจและประสานกับเรา ยืนยันว่าไม่ใช่การโยนภาระ ยืนยันว่าทำงานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ ทั้งกระทรวงกลาโหมและ 4 เหล่าทัพ รวมถึงรัฐบาล ทำงานเป็นน้ำหนึ่งเดียวกัน
'ภูมิธรรม' ลิ้นพัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลักการทั่วไปของการเจรจาหยุดยิง เราต้องให้เขาถอนอาวุธ หรือยื่นเงื่อนไขในการเจรจา แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่านายภูมิธรรมไปรับเงื่อนไขเขามา นายภูมิธรรมธรรมย้อนถามว่า ถามแบบนี้เหมือนไม่เข้าใจ เรายืนยันว่าหากเราไปคุยเงื่อนไขทั้งหมดก็ไม่จบ แต่ในขณะที่ยิงกัน ก็เกิดความเสียหายกับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ดังนั้นก่อนอื่นต้องหยุดยิง เพื่อระงับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น จึงอยากให้ทำความเข้าใจ สิ่งที่ทำทั้งหมด ไม่ได้สนองความสะใจของใคร แต่ต้องระมัดระวังและยุติความเสียหาย หากเจรจากันไม่ได้ก็ไปเริ่มต้นใหม่ การตั้งคำถามแบบนี้ไม่ถูก คนเสียหายเวลานี้คือประชาชนและกำลังทหาร อยากให้ใช้สติในการพิจารณาว่าการทำเช่นนี้น่าจะเป็นการยุติความเสียหาย และเงื่อนไขต่างๆ ที่เราคุยกัน
เมื่อถามว่า จะเรียกร้องกัมพูชาในฐานะอาชญากรสงครามหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า อันนั้นเป็นเงื่อนไข การหยุดยิงไม่ได้หมายความว่าจะมีเงื่อนไขเป็นคดี แต่เป็นการยุติไม่ให้เกิดความเสียหายและมาคุยกัน มอบหมายให้เป็นกลไกทวิภาคี หลังจากนี้จะพูดคุยกันโดยไม่มีเสียงปืนทำร้ายกัน ถ้าจะคุยกันในขณะที่มีการยิงกันอยู่ ที่ไหนก็ไม่มีใครทำได้ ส่วนจะเดินหน้าเอาผิดกัมพูชาในฐานละเมิดหรือไม่ เดี๋ยวรอพูดคุยกัน ใครทำอะไรไว้ก็ต้องรับผลตรงนั้น เงื่อนไขในการหารือคือ เงื่อนไขของกองทัพบก 6 ข้อ ซึ่งกองทัพบกทราบดี ขอให้ไปถามดู ขอให้นึกถึงประเทศชาติ ซึ่งเงื่อนไขที่กองทัพบกเสนอมานั้น เรารับได้ และนำมาเจรจาต่อ ที่ประชุมก็ยอมรับ
ถามย้ำว่า รัฐบาลเอาเรื่องภาษีสหรัฐมากดดันผูกคอกองทัพหรือไม่ นายภูมิธรรมย้อนถามว่า ท่านเอาความเชื่อมั่นมาถามแล้วมากดดัน ไม่ขอตอบแล้ว ก่อนเดินออกจากวงสัมภาษณ์และขึ้นตึกบัญชาการไปทันที
พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) กล่าวว่า ขอให้ทุกคนสบายใจได้ว่าการหยุดยิงไม่ใช่ว่าสั่งหยุดเมื่อคืนนี้แล้วทั้งสองฝ่ายจะมาเล่นตะกร้อ นั่งกินข้าวด้วยกัน ยืนยันต้องคุยกันต่อไป ใน 7 ข้อนั้นอาจจะจบเดือนหน้าหรือไม่ ยังไม่รู้ แต่การหยุดยิงทำให้ลดความสูญเสียของประชาชน เพราะปัจจุบันประชาชนเสียชีวิต 14 ราย บาดเจ็บ 48 ราย ทหารเสียชีวิต 12 ราย บาดเจ็บ 160 ราย 1 นั้นมีพิการขาขาด 4 ราย ซึ่งเป็นกำลังหลักครอบครัว ยืนยันต้องคิดทุกอย่าง อยากให้สังคมเข้าใจ
เมื่อถามย้ำว่า ก่อนหน้าปะทะ รัฐบาลก็ให้กองทัพคุยเช่นกันแต่ก็ไม่จบ รอบนี้ให้กองทัพไปคุยอีก แล้วจะจบหรือไม่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า “หากไม่จบก็ไม่จบ และอาจจะยิงกันใหม่ได้”
เมื่อถามว่า การเจรจาให้หยุดยิงเกี่ยวข้องกับการเจรจาภาษีทรัมป์หรือไม่ พล.อ.ณัฐพลปฏิเสธด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า ไม่ดูทุกด้าน ต่างประเทศ เศรษฐกิจ ได้อธิบายมาตั้งแต่ต้นแล้ว อยากให้พูดด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่แค่มุมเดียวมากล่าวหา
"วันนี้เป็นแบบนี้ พรุ่งนี้อาจเป็นอีกแบบหนึ่งก็ได้ ขอให้ทุกคนเข้าใจ เราไม่ได้ไปเกี้ยเซียะกับใครเลย เรายึดหลักผลประโยชน์ของชาติ” พล.อ.ณัฐพลยืนยัน
อิ๊งค์ไม่แปลกใจท่าทีเขมร
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ และ รมว.วัฒนธรรม เดินทางเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมีสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่าได้ติดตามสถานการณ์หรือไม่หลังจากกัมพูชาไม่ปฏิบัติตามคำพูดที่ตกลง น.ส.แพทองธารกล่าวว่า เมื่อสักครู่ได้อัปเดตกับทางทีมงาน ก็ได้พูดคุยกันว่าจะมีการแจ้งให้กับประเทศที่เข้ามาเป็นพยานทราบด้วยว่ามันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ถามว่าทางเราจริงๆ ไม่ได้แปลกใจกับความไม่สุภาพบุรุษอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า รัฐบาลต้องมีการออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการอีกครั้งหรือไม่ เพราะเขายังไม่ยุติการหยุดยิง น.ส.แพทองธารกล่าวว่า เดี๋ยวเรื่องนี้จะไปถามนายภูมิธรรม
หลังประชุม ครม.ผู้สื่อข่าวสอบถาม น.ส.แพทองธารว่ารู้สึกอย่างไรถึงเหตุการณ์การปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา หลังจากเจรจาหยุดยิงแล้ว น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ไม่มีค่ะ เดี๋ยวนายภูมิธรรมจะมีการแถลงข่าว
เมื่อถามอีกว่า หวังว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย และเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นหรือไม่ น.ส.แพทองธารพยักหน้ารับและกล่าวว่า ค่ะๆ
ในเวลา 13.20 น. ที่ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรมอ่านแถลงการณ์รัฐบาลถึงความคืบหน้าการดำเนินการของรัฐบาลต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ และ พล.อ.ณัฐพลนั่งร่วมด้วย
นายภูมิธรรมกล่าวว่า รัฐบาลไทยเคารพต่อผลการหารือที่เมืองปูตราจายา ประเทศมาเลเซีย และปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อหยุดยิงตามที่ได้แถลงร่วมกัน แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ากองกำลังกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยมีการใช้อาวุธยิงต่อกำลังฝ่ายไทยในพื้นที่ทำให้ทหารไทยต้องตอบโต้อย่างเด็ดขาดและเหมาะสมเพื่อปกป้องอธิปไตยและชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์ พร้อมกันนี้รัฐบาลได้ประท้วงไปยังประธานอาเซียน สหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นสักขีพยานในการเจรจา เพื่อให้ได้รับทราบว่าการละเมิดข้อตกลงนี้เป็นเหตุจากการไม่ซื่อตรงและไม่จริงใจของกัมพูชาอย่างชัดเจน จากสถานการณ์ในขณะนี้รัฐบาลได้มอบหมายให้ทุกเหล่าทัพตรึงกำลังเพื่อรักษาอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนอย่างเต็มที่ แต่ไม่ยินยอมให้อธิปไตยไทยถูกล่วงล้ำไม่ว่ากรณีใดๆ
“สุดท้ายนี้ขอให้พี่น้องประชาชนไม่ตกเป็นเหยื่อเกมข่าวลวงหรือเกมการเมืองของกัมพูชา เพื่อสร้างความแตกแยกภายในประเทศจากฝ่ายตรงข้าม ทีมประเทศไทยขอยืนยันว่าจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติและพี่น้องประชาชน” นายภูมิธรรมกล่าว
ไทยยึดได้ 11 พื้นที่
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ แถลงว่า ที่ประชุม ครม.ได้ยืนยัน 4 ประเด็น คือ 1.ให้กองทัพรักษาอธิปไตยและบูรณภาพแผ่นดินแดนอย่างเต็มที่ 2.กรณีการเรียกเอกอัครราชทูตไทย ยังคงย้ำในจุดยืนเดิมให้เรียกกลับไทย และส่งทูตกัมพูชากลับประเทศเช่นกัน 3.ให้กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการดูแลพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบตามแนวชายแดน และ 4.ให้ ศบ.ทก.ประชุมอย่างต่อเนื่องหากมีเหตุการณ์ด่วนก็สามารถชี้แจงกับพี่น้องประชาชนได้ทันที
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.กต. กล่าวว่า ได้ส่งหนังสือประท้วงออกไปแล้ว โดยส่งไปที่นายกฯ มาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน และได้ส่งหนังสือให้กับสหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีน ในฐานะผู้สังเกตการณ์ ส่วนรายละเอียดขอไม่เปิดเผยก่อน
พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะโฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) แถลงผลการประชุม ศบ.ทก. ว่าการตกลงหยุดยิงเมื่อเวลา 24.00 น. ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขอย่างเคร่งครัด แต่ฝ่ายกัมพูชาได้ใช้อาวุธยิงเข้ามาในเขตแดนไทยต่อเนื่องในหลายจุด ถือเป็นการกระทำที่ไม่จริงใจ ละเมิดข้อตกลง และเป็นการทำลายความเชื่อมั่นที่ควรมีต่อกันในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งยังใช้โบราณสถานเป็นโล่กำบัง ซึ่งเป็นการละเมิดพันธกรณีในการคุ้มครองทางวัฒนธรรมของสหประชาชาติ อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติของโลก
พล.ร.ต.สุรสันต์กล่าวว่า สรุปสถานการณ์พื้นที่การปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา ตั้งแต่เวลา 06.00 น.ถึง 24.00 น. ฝ่ายไทยสามารถคุมพื้นที่ได้ 11 พื้นที่ ประกอบด้วย ภูมะเขือ, ช่องอานม้า, ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาควาย, แนวเขตแดนช่องบก, โดนตวล, สัตตะโสม, ช่องจอม, ช่องสายตะกู, พระวิหาร และพลาญยาว
“สุดท้ายที่อยากฝากในเรื่องความมั่นคง คือการเฝ้าระวังการโจมตีทางไซเบอร์ ที่เป็นประเด็นสำคัญที่ในระยะเวลาที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่าจะมีการโจมตีทางไซเบอร์ในเว็บไซต์หรือในสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ มีการใช้เอไอ การใช้ข่าวปลอม ข่าวลวงต่างๆ ก็อยากจะฝากพี่น้องประชาชน ใช้วิจารณญาณในการติดตามในการแชร์ข้อมูลข่าวสารทั้งหลาย รวมไปถึงในเรื่องของการรายงานรีพอร์ตให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ถ้าหากตรวจพบว่ามีการละเมิดทางไซเบอร์ โดยเฉพาะกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) จะติดตามในเรื่องนี้ และฝากพี่น้องประชาชนทุกคนช่วยกันติดตามสืบเสาะในการละเมิดทางไซเบอร์นี้ด้วยเช่นเดียวกัน”.