สาเหตุ "เก๋ ชลลดา" เยื่อบุสมองอักเสบ อัปเดตอาการป่วยล่าสุด
ทำเอาหลายคนแห่เป็นห่วง หลังสาวแกร่งคนเก่งนางฟ้าของน้องหมา น้องแมว "เก๋ ชลลดา ศิริสันต์" ตรวจพบเป็นโรคเยื่อบุสมองอักเสบ จนต้องแอดมิตโรงพยาบาลอยู่หลายวัน ล่าสุดเจ้าตัวได้ออกจากโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เลยถือโอกาสอัปเดตอาการที่เกิดขึ้นให้ทุกคนได้ทราบ พร้อมเตือนทุกคนอย่าละเลยความผิดปกติของร่างกายตัวเอง
เห็นเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเพราะป่วย ?
“จริงๆ ตอนแรกครั้งนี้ที่ไม่สบายไม่ได้มีสัญญาณอะไร ไม่ได้มีสัญลักษณ์อะไรที่รู้สึกว่าเราจะป่วยเลย เก๋ทำงานแข็งขันปกติ วันที่ไม่สบายยังไปส่งสุนัข 2 ตัวที่ได้บ้านใหม่ไปหาผู้อุปการะ ก็อุ้มเค้าอยู่ดีๆ อยู่ดีๆก็หันคอแล้วก็รู้สึกเจ็บที่ต้นคอมากๆ ก็แบบรู้สึกว่า เอ๊ะ! มีอะไรผิดปกติแน่เลยก็เลยนั่งพักปรากฏว่ามันวิ่งจากคอขึ้นมาหลังหูแล้วก็มาที่ขมับ ก็เลยรู้สึกว่า เอ๊ะอาการป่วยมันไม่น่าปกติแล้ว
แต่ว่าโชคดีมากๆ คือผู้อุปการะเก๋ชื่อ คุณแพทกับคุณหลุยส์ เก๋ไปส่งเขาที่บ้านเนี่ย เขาเป็นเวลล์เนสเซ็นเตอร์พอดี เขาก็เลยปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วก็ให้น้ำเกลือเดี๋ยวนั้นเลย ให้เราแบบรู้สึกแข็งแรงขึ้นนิดนึง แล้วก็กลับมาบ้านมาพักผ่อน เสร็จก็แบบไม่หายปวดหัวสักทีเป็นการปวดหัวที่แปลกมาก ตอนแรกนึกว่าเป็นไมเกรนเพราะเคยเป็นนะคะ ก็ทานยาทุกอย่าง นอนไปแล้วไม่รู้สึกดีขึ้นเลย
วันรุ่งขึ้นก็รู้สึกว่าไม่ไหว ผิดปกติแล้ว ก็เลยไปหาคุณหมอ คุณหมอก็บอกว่าคุณเก๋โชคดีมากๆ เลยนะ จริงๆ แล้วปวดหัวแบบนี้ควรจะมาหาคุณหมอภายใน 6 ชั่วโมง เก๋รอมาตั้ง 19 ชั่วโมง แต่ก็ยังโชคดีที่ยังภายใน 24 ชั่วโมงค่ะ อาการปวดหัวคือปวดศีรษะรุนแรงมากๆ แล้วก็เจ็บต้นคอ คือเจ็บคอเหมือนคนเมื่อยคอ คอเคล็ดที่ไม่สามารถก้มคอได้ คอแข็ง อาการประมาณนั้น แล้วก็มีตาพร่าแล้วก็มีแสงแฟลชในตา”
จริงๆ มีสัญญาณมาก่อนไหม?
“ไม่มีเลย คือจะบอกว่าเก๋ใช้ชีวิตปกติมากนะคะ แล้วก็อาทิตย์ก่อนที่จะเข้าโรงพยาบาลก็ใช้ชีวิตปกติ ตื่นมาออกกำลังกายช่วงเช้า คือช่วงนี้เก๋ก็หันมาฟิตอ่ะนะคะ ก็ออกกำลังกายทุกวันเลยตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ ทุกวันก็ออกกำลังกายปกติ วันที่ไม่สบายก็ยังออกกำลังกายตอนเช้า 8 โมงถึง 9 โมง ไปทำงานแล้วก็รู้สึกว่าตอน 2 โมงครึ่งเนี่ยปวดศรีษะมาก แล้วก็วันรุ่งขึ้นก็ไม่ไหว ไปแอดมิดตอน 11 โมงครึ่งค่ะ”
ถ้าสมมุติมันไม่ทันจริงๆ คุณหมอบอกมันถึงจะขั้นอะไรยังไง ?
"ก็คือจริงๆ เยื่อบุสมองอักเสบ จริงๆ แล้วมันเป็นโรคที่ไม่ใช่ปกติ แต่ว่าต้องดูว่าเรารักษาสุขภาพ ดูแลยังไง คุณหมอก็บอกว่าเก๋เองเนี่ย ถ้ามาช้าอีกนิดนึงก็อาจจะมีอาการปากเบี้ยว หรือเป็นอัมพฤกษ์ชั่วคราวอะไรอย่างนี้ค่ะ”
เกิดจากอะไร คุณหมอบอกไหม ?
“คือจริงๆ แล้วทุกคนถ้าเกิดใครเคยเป็นอีสุกอีใสคุณหมอเขาบอก อันนี้ของเก๋นะคะ คือเชื้อโรคขอเก๋เนี่ยเคยเป็นอีสุกอีใสจะมีไวรัสตัวนี้อยู่ในตัว ซึ่งไวรัสตัวนี้เป็นตัวเดียวกับที่เป็นโรคเริม ที่เป็นที่ปาก ที่มือ ที่เท้า เพียงแต่ของเก๋มันไม่ได้ขึ้นอย่างนั้น คือมันไปขึ้นที่เยื่อบุสมองเลย ก็คือเยื่อบุสมองอักเสบ ซึ่งโชคดีที่ไปเร็วถ้าไปช้ามันก็จะเข้าไปที่แกนสมองอะไรอย่างนี้ค่ะ”
สัญญาณที่มันกระตุ้นให้เกิด หมอบอกไหมว่าเกิดจากอะไร ?
“ถ้าเกิดเก๋จับได้จริงๆ เก๋ว่าน่าจะเป็นเรื่องพักผ่อนไม่เพียงพอ พอดีเก๋นอนน้อยติดกันสามวัน ก็คือนอนหลังเที่ยงคืนไปแล้วติดๆ กันสามวัน แล้วก็อาจจะทานอาหารไม่ตรงเวลาด้วยเป็นจังหวะ คือเหมือนจังหวะมันนิดเดียวเอง แล้วก็คุณหมอบอกว่าสาเหตุโรคนี้จริงๆ เกิดจากภูมิต้านทานตก พักผ่อนไม่เพียงพอ แล้วก็อาจจะมีความเครียด
ซึ่งเก๋ก็บอกคุณหมอว่าเก๋ไม่มีอะไรเครียดเลยนะคะ คุณหมอก็บอกว่าอาจจะเครียดไม่รู้ตัวไหมคะ ตอนนี้มีเรื่องอะไรบ้างรึเปล่า ตอนนี้เก๋ทำงานโปรเจคอะไรรึเปล่าค่ะ ก็เลยเล่าเรื่องปัญหามูลนิธิเดอะวอยส์ตอนนี้ว่าเราไปช่วยชายแดนอยู่อะไรอย่างนี้ค่ะ คุณหมอบอกคุณเก๋หยุดดูข่าวก่อนล่ะกันนะคะ อย่าเพิ่งไปดูข่าวมาก ดูแล้วเราจะไม่สบายใจ อาจจะไม่รู้ตัว”
กลไกการรักษาที่คุณหมอให้มาเป็นยังไง ?
“ก็จริงๆ โชคดีมากที่เก๋เนี่ยแบบคุณหมอเอะใจได้เร็วนะคะ คือพอไปแอดมิตหนึ่งคืนไม่ดีขึ้น ไข้ขึ้นตอนกลางคืน ตื่นเช้ามาคุณหมอก็ให้ยาฆ่าเชื้อ เรียกว่ายาต้านไวรัสเลย รักษาทุกโรคเลย พอเวลาช่วงประมาณบ่ายโมง เก๋ก็เจาะไขสันหลังเพื่อดูว่าเป็นอะไร ก็เลยเจอโรคไวรัสเฉพาะ คือเป็นไวรัส HSV ซึ่งโรคไวรัสที่เก๋เป็นจริงๆ แล้วมันไม่มียาเฉพาะทาง มันก็เป็นยากว้างๆ ของการต้านไวรัส ซึ่งคุณหมอก็ช่วยเต็มที่ค่ะ”
จะหายขาดไหม คุณหมอได้บอกไหม ?
“จริงๆ แล้วตั้งแต่วันแรกที่ให้ยา มันไม่มียาที่รักษาโดยตรง มันจะเป็นยาฉีดเข้าทางสายน้ำเกลือ ซึ่งเก๋แอดมิดอยู่โรงพยาบาลประมาณเจ็ดวันแล้วเผอิญเส้นมันแตก เพราะมันเจาะหลายที่แล้วไม่มีเส้นให้ได้ คุณหมอก็เลยให้กลับมาทานยาที่บ้าน ซึ่งจริงๆ โดสยาต้องกินถึง 10 วัน ซึ่งเมื่อวานเพิ่งหมดวันที่ 10 แล้ววันนี้วันที่ 11 ก็มาทำงานค่ะ ก็เลยยังตอบไม่ได้ว่ามันหายจริงหรือเปล่า”
ตอนนี้คิดว่าสภาพร่างกายเราโอเคแล้วหรือยัง ?
“คือถ้าเอาตรงๆ วันนี้ก็ยังไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์มาก เพราะรู้สึกเลยเมื่อกี้ตอนอยู่บนเวทีแล้วอากาศร้อน มันรู้สึกเหมือนตัวหนักๆ เพราะว่าจริงๆ แล้วโรคนี้เขาบอกว่าต้องระวังเส้นเลือดมากๆ คุณหมอก็เลยขอว่าช่วงนี้อย่าเพิ่งทำงานกลางแจ้งนะคะ อย่าเพิ่งออกแดด อย่าเพิ่งโดนแสงสว่างมากๆ”
รู้สึกยังไงว่าที่ผ่านมาเราแทบจะไม่เคยเจอภาวะอะไรขนาดนี้ แต่ครั้งนี้เจอปุ๊ปมันหนัก ?
“มันก็คงเป็นสัญญาณเตือนนะคะ คืออย่างที่เก๋ลงโพสต์ในไอจีของเก๋ว่า อุตส่าห์ดีใจว่า 10 ปีไม่ได้เข้าโรงพยาบาลเลย บริษัทประกันคงรักเก๋มากๆ ไม่ได้ใช้เลย พูดปั๊ปได้เข้าโรงพยาบาลเลย ก็ถือว่าเป็นสัญญาณเตือนภัยแล้วกันให้เราไม่ประมาท บางทีเราคิดว่าเราดูแลสุขภาพดีแล้ว แค่สามวันไม่เป็นไร
คือเราต้องรู้ลิมิตร่างกายตัวเอง แล้วก็ฝากเตือนไปถึงเพื่อนๆ พี่ๆ ทุกคนด้วยนะคะว่าจริงๆ แล้วอะไรก็ตามที่ผิดปกติจากที่เราเคยเป็นให้ไปพบแพทย์เลยนะคะ คือมันผิดปกติแสดงว่ามันไม่ใช่แล้ว อย่าคิดว่าปวดหัวแค่นี้กินยาแล้วหาย จริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ได้ช่วยโดยตรงก็ได้เก๋ว่าพบแพทย์ดีที่สุดค่ะ”
สามีว่ายังไงบ้าง?
“ก็วันที่ไม่สบายโชคร้ายนิดนึงคือพร้อมไม่อยู่ประเทศไทยพอดี ตอนแอดมิตตอนบ่ายก็ยังไม่อยากบอกกลัวเขาเป็นห่วง เพราะเขาก็ไปประชุม เขาโทรมาตอนดึกพอดีต้องแอดมิดก็เลยต้องบอกว่าอยู่โรงพยาบาล เขาก็ตกใจ ยิ่งพอเล่าว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสมองทุกคนก็เป็นห่วงหมด คุณพ่อคุณแม่ ครอบครัวก็เป็นห่วงมากๆ ก็มาดูกันไปหมดเลย ทุกคนเหมือนจะมาดูใจซะแล้ว (ยิ้ม)”
หลังจากนี้การใช้ชีวิตต้องปรับเปลี่ยนยังไง?
“ก็หลังจากนี้เก๋ต้องเรียกว่าต้องรู้จักลิมิตของตัวเอง คือต้องฟังร่างกายจริงๆ บางทีเก๋รู้สึกว่ามันก็เหนื่อยนะแต่ไม่เป็นไรอีกนิดเดียวอึดได้ คนอื่นเขาทำได้หนิอะไรอย่างนี้ แต่เราต้องรู้จักลิมิตของตัวเอง เก๋ว่าหลังจากนี้เก๋จะไม่ฝืนแล้วนะคะว่าเดี๋ยวไหว เดี๋ยวไหว อะไรอย่างนี้ค่ะ”
เรียกว่าช่วงนี้ก็คือต้องเข้าออกโรงพยาบาล ไปเชคอัพร่างกาย ?
“ใช่ พอเก๋กินยาครบโดสแล้วเนี่ย อาทิตย์หน้าคุณหมอนัดตรวจเลือด เพราะยาที่ให้ก็แอบเป็นยาที่ค่อนข้างแรง เขาก็เป็นห่วงเรื่องไตค่ะ” ที่งานเปิดตัวแบรนด์ Tavo Pets