ลำเพลิน ฝากถึงคนเมาแล้วขับ ควรนึกถึงลูก-ครอบครัวมากกว่านี้ อยากให้เคสตนเป็นกรณีตัวอย่าง
ไนน์เอ็นเตอร์เทน
อัพเดต 23 สิงหาคม 2568 เวลา 3.13 น. • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา • NineEntertain ข่าวบันเทิงอันดับ 1 ของไทยจากกรณีลูกทุ่งหมอลำโอปป้า ลำเพลิน วงศกร วัย 31 ปี ฟาดเคราะห์หนัก หลังประสบอุบัติเหตุ ถูกรถขนน้ำแข็งพุ่งชนรถตู้ ขณะเจ้าตัวเดินทางไปเล่นคอนเสิร์ต อ.เจริญศิลป์ จ.สกลนคร จนได้รับบาดเจ็บที่เส้นเอ็นไหปลาร้า และต้องผ่าตัดด่วน เมื่อวันที่ 14 เม.ย. 68 ที่ผ่านมา ก่อนมาทราบภายหลังว่าคู่กรณีนั้นเมาแล้วขับ ซึ่งตั้งแต่เกิดเรื่อง คู่กรณีนิ่งเงียบ ไม่เคยถามไถ่อาการใด ๆ ทั้งสิ้น ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น งานนี้หนุ่ม ลำเพลิน จึงตัดสินใจใช้กฎหมายดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
ต่อมา เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 68 ที่ผ่านมา ลำเพลิน ได้ออกมาอัปเดตคดีว่า ศาลตัดสินสั่งจำคุกคู่กรณีเมาแล้วขับ 3 ปี ไม่รอลงอาญา จำเลยรับสารภาพจึงเหลือ 1 ปี 6 เดือน ด้าน ลำเพลิน ยินดีที่จะช่วยเหลือครอบครัวคู่กรณี เนื่องจากมีลูกน้อย จึงอยากช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน พร้อมฝากบอกคู่กรณีไม่ต้องห่วงครอบครัวขณะที่รับโทษ
ล่าสุดวันนี้ (22 ส.ค. 68) หนุ่ม ลำเพลิน ได้เปิดใจในรายการตกมันส์บันเทิงว่า เขาทำผิดเขาก็ต้องได้รับโทษ และวันที่ขึ้นโรงพักภรรยาคู่กรณีมาด้วย แล้วภรรยาเขาบอกว่าขอโทษนะที่สามีเขาทำผิด ซึ่งตอนนี้เขามีลูกด้วย ตนจึงเก็บจุดนี้ไว้ก่อน และคิดว่าการมีลูกนี่แหละ ยิ่งทำให้เขาต้องคิดต้องมีสติให้มากขึ้นกว่าเดิม ตนบอกคู่กรณีไปแบบนั้น
หนุ่ม ลำเพลิน เผยต่อว่า วันที่ศาลตัดสินตนก็ฉุกคิดขึ้นมาได้อีกว่าเขามีลูกน้อย เลยคิดว่าเราจะช่วยในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อาจจะเป็นค่านม ค่าขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับลูกของเขาตลอดระยะเวลาที่พ่อต้องไปรับโทษ ตนคิดประมาณนี้ แต่ไม่ถึงขั้นต้องดูแลทุกอย่าง เห็นแก่เด็ก และไม่ถึงขั้นรับลูกคู่กรณีมาเป็นลูกบุญธรรม
ความรู้สึกหลังศาลตัดสิน? ลำเพลิน เผยว่า ขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ พี่ ๆ ทนายความทุกคน ที่จริงไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย รู้สึกแค่อยากให้สังคมได้เห็นว่าไม่ประมาทในการใช้รถใช้ถนน แล้วรู้สึกว่าการเมาแล้วขับมันทำให้คนอื่นเดือดร้อน รวมถึงตัวคนเมาด้วย ยิ่งมีลูกมีครอบครัวต้องคิดเยอะกว่านี้ พอคุณไปรับโทษลูกคุณจะอยู่ยังไง ครอบครัวคุณจะอยู่ยังไง ในเมื่อคุณเป็นเสาหลักของครอบครัว
หนุ่ม ลำเพลิน คิดว่าในสังคมน่าจะมีหลายเคส หลายกรณี และมีคนทักมาถามว่าเรื่องราวเป็นแบบเดียวกันเลย แต่คดีเงียบไป ตนเลยอยากให้เคสของตนเป็นกรณีตัวอย่าง เพราะถ้าเราโดนกระทำแบบนี้ เราสามารถปกป้องสิทธิของตัวเองได้ในความเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ยิ่งเราเป็นคนมีชื่อเสียง เรายิ่งต้องตีแผ่เรื่องราวนี้ มันจะเกิดประโยชน์กับสังคมมาก ซึ่งจะทำให้สังคมเห็นว่าความยุติธรรมมีอยู่จริง คนผิดก็ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย แต่ถ้าเราปล่อยผ่านไป มันก็จะเกิดเคสหลายอย่าง แบบว่าชนคนก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวเรื่องมันก็เงียบไปเอง ซึ่งตนรู้สึกว่ายิ่งมาเกิดกับตัวเอง มันยิ่งทำให้ตระหนักถึงความสำคัญของชีวิต เพราะไปทำงานไม่ได้เลย ในช่วง 1-2 เดือนแรกหลังเกิดเหตุ .-ไนน์เอ็นเตอร์เทน
ภาพจาก lumplearn_wongsakorn