การปกป้องผู้บริโภคจากการฉวยโอกาสทางการเมืองในสภาองค์กรของผู้บริโภค
การปกป้องผู้บริโภคจากการฉวยโอกาสทางการเมืองในสภาองค์กรของผู้บริโภค
บทความโดย พชร นริพทะพันธุ์ กรรมการ ก.ล.ต. และที่ปรึกษาประจำประธาน กสทช.
ประเทศทุนนิยมสามารถเติบโตขึ้นได้ด้วยพลังของผู้บริโภค การคุ้มครองผู้บริโภคจึงเป็นกลไกในการพัฒนาตลาดเสรีมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา การคุ้มครองผู้บริโภคมีหลายมิติ ได้แก่ มิติด้านคุณภาพ มิติด้านการหลอกลวงและการถูกเอาเปรียบ และมิติด้านความรับผิดรับชอบ ทั้ง 3 มิติ ถือเป็นหลักการพื้นฐานในการดูแลผู้บริโภค ไม่ว่าจะในสินค้าหรือบริการก็ตาม
สิ่งสำคัญของการสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มผู้บริโภคคือความรู้ความเข้าใจ ในสหรัฐฯ ที่มีการทำ Consumer Reports มากว่าหลายสิบปี ขณะที่ในประเทศไทย ปัญหาของผู้บริโภคก็ยังเป็นปัญหาจนถึงทุกวันนี้
เพราะการคุ้มครองผู้บริโภคไม่ได้มีปัจจัยหลักของการทำงานเพื่อผู้บริโภคที่ต้องการได้รับความคุ้มครองจากคุณภาพของสินค้าอุปโภคและบริโภค แต่กลายเป็นการเรียกร้องการปรับโครงสร้างราคาและผู้ผลิตในรูปแบบทางการเมืองและอุดมการณ์ ซึ่งไม่ตรงกับการดูแลผลประโยชน์ของผู้บริโภค
ปัจจุบัน การคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทยได้ถูกหลอมรวมกับกิจกรรมทางการเมือง และนำมาเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองภาคประชาชนที่ไม่ได้มีประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม หากแต่เป็นการขับเคลื่อนโดยผู้นำองค์กรหรือบุคคลไม่กี่ราย ซึ่งแสดงออกในเชิงอุดมการณ์ทางการเมืองมากกว่ามุ่งเน้นผลประโยชน์ของผู้บริโภคโดยตรง
ยกตัวอย่างเช่น การเคลื่อนไหวเรียกร้อง “ยึด ปตท.คืน” และการคัดค้านการเปลี่ยนให้ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ หรือแม้กระทั่งต่อต้านการเป็นบริษัทมหาชนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นแนวคิดทางสังคมนิยมมากกว่าทุนนิยมเสรีซึ่งเป็นพื้นฐานของกลไกตลาดผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม เมื่อกลุ่มบุคคลเหล่านี้เข้ามามีบทบาทในสภาองค์กรของผู้บริโภค กลับมิได้สานต่อข้อเรียกร้องที่เคยผลักดันและไม่เคยแสดงความรับผิดชอบต่อผลเสียที่ตนเคยเรียกร้อง ไม่ว่าจะเป็นการที่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ กำลังจะหมดความสามารถในการบริหารจากการเป็นรัฐวิสาหกิจที่อุ้ยอ้าย และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่ต้องรับรายจ่ายและหนี้มหาศาลจากการที่ทำสัญญาผูกพันผูกขาดกับผู้ผลิตเพียงไม่กี่ราย ไม่รวมถึงข้อมูลผิดๆ ของ ปตท.
ที่จนทุกวันนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าแก้ไขโครงสร้างอะไรไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่ควรให้เกิดผู้บริการปลายน้ำรายย่อยเพิ่ม และเปิดเสรีต้นน้ำเพิ่มตั้งนานแล้ว เพื่อแข่งขันกับการนำเข้าน้ำมันตรงและการดูแลเรื่องค่าการตลาด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพุ่งเป้าไปที่เรื่องโทรคมนาคม ซึ่งมักหยิบยกประเด็นเพียงบางส่วนมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ตัวละครเดิมที่เรียกร้องไปเพื่อชื่อเสียงและสถานะของตัวเอง มากกว่าจะสนใจบริบทที่แท้จริง บ้างก็กลายเป็นเครื่องมือของกลุ่มทุนที่หวังผลจากการเรียกร้อง ลับ ลวง พราง ตามสไตล์ เศรษฐีเมืองไทย
ทั้งๆ ที่ความจริง ที่เป็นที่ยอมรับของคนในชุมชนว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีระบบโทรคมนาคมที่ดีที่สุดประเทศหนึ่งของโลก (จนกลายมาเป็น ที่ต้องการของเหล่าอาชญากร) และถูกที่สุดแห่งหนึ่งของโลก (เช่นเดียวกัน ต้นทุนถูกสำหรับอาชญากร) ซึ่งคงไม่ต้องเถียงให้เปลืองน้ำลายเพราะพิสูจน์ให้เห็นมาแล้ว
ระบบบริการอินเทอร์เน็ตทั้งมีสายและไร้สายให้กับคนทุกระดับ ทั้งระบบควบคุมราคา ควบคุมคุณภาพ การแจ้งร้องเรียน การบริการหรือการเอารัดเอาเปรียบ ซึ่งเหนือกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคทั้งหมด รวมถึงบริการอินเทอร์เน็ตฟรีของรัฐตามชุมชนต่างๆ และในที่สาธารณะที่เพิ่มคุณภาพขึ้นเรื่อยๆ ราคาการให้บริการที่คิดจากค่าแรงขั้นต่ำที่ต่ำกว่าความเป็นจริงไปมาก
การเข้าถึงระบบโทรคมนาคมไร้สายและการบริการทางเทคโนโลยีที่ครอบคลุมที่สุดในภูมิภาค (หากอ่านจากรายงานของสมาคมผู้ให้บริการเครือข่ายสื่อสารเคลื่อนที่ระบบจีเอสเอ็มทั่วโลก หรือ GSMA) ซึ่งก็ต้องพัฒนาต่อไปควบคู่กับการบริการของรัฐและก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไปกับการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีที่สวนทางกับอัตราการเกิดของคน
ลักษณะเช่นเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองบางพรรค ที่มีอุดมการณ์ที่ต้องการสู้เพื่อความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ และลดการผูกขาดทางการเมือง แต่ในสมัยนี้มีผู้นำองค์กรและคนเพียงไม่กี่คนที่ดำเนินการในลักษณะแบบเดียวกับ แนวทางการคุ้มครองผู้บริโภค คือห้อยวาระความต้องการของตัวเองไปกับป้ายชื่อองค์กร เห็นได้จากการหยิบยกประเด็นต่างๆ ที่ดึงดูดกระแสโดยไม่แยแสผลของมัน ซึ่งก็กลายเป็นอุปสรรคของการเปลี่ยนแปลงและเป็นปัจจัยที่ทำให้ถดถอย
ในฐานะของคนๆ นึงที่เห็นการเติบโตมาของพรรค ความเป็นห่วงนี้จึงสะท้อนปัญหาที่แท้จริงที่จะต้องแก้ให้ประชาชน ก่อนเข้าสู่วิกฤตความเหลื่อมล้ำ ความเท่าเทียม และการสั่นคลอนของสถาบันครอบครัว การเกาะกระแส โหนกระแส และการมองตัวเองเป็นหลักจะไม่ช่วยสังคมแต่จะส่งผลตรงกันข้าม ตามตัวอย่างที่กล่าวมาเบื้องต้น
กล่าวโดยสรุป หากองค์กรหรือผู้นำที่ไม่มีความรู้และอุดมการณ์ที่แท้จริง และใช้อุดมการณ์เพื่อประโยชน์ส่วนตน ย่อมส่งผลเสียหายต่อประชาชนโดยตรง ในรูปแบบที่เกิดมาแล้ว โดยก็จะไปหาเรื่องใหม่มาทำลาย ส่งผลต่อประชาชนเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้นการดูแลผู้บริโภคก็เหมือนดูแลประชาชน การยึดหลัก 3 มิติ ด้านคุณภาพ การป้องกันการเอาเปรียบ และความรับผิดชอบ จะช่วยให้สังคมไทยพัฒนาไปสู่ความเข้มแข็งและความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง