โลกร้อนเกิน 1.5–2.0°C จุดเปลี่ยนหายนะ ที่อาจไม่มีวันหวนกลับ
ดร.สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับ เมื่อโลกอุณหภูมิสูงขึ้นถึง 1.5 และ 2.0 องศาเซลเซียส…จะเกิดอะไรขึ้น?
ปี พ.ศ. 2567 ได้รับการบันทึกว่าเป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงและต่อเนื่อง ที่สำคัญคือปีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่อุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญทางวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่อาจควบคุมไม่ได้หากไม่มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน
เมื่อโลกอุ่นขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะรุนแรงและเกิดบ่อยครั้งมากขึ้น ได้แก่ คลื่นความร้อน ฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน และภัยแล้ง ธารน้ำแข็งและแผ่นน้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและน้ำแข็งในทะเลอาร์กติกหดตัว นอกจากนี้ อุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรที่สูงขึ้นยังเร่งให้เกิดพายุที่รุนแรงขึ้น และทำลายระบบนิเวศทางทะเลอย่างรุนแรง รวมถึงการพังทลายของแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติก และการสูญเสียพื้นที่ป่าฝนอเมซอนเพิ่มเติม ปัญหาเหล่านี้สะท้อนให้เห็นผลกระทบที่กำลังเกิดขึ้นจริง เช่น ในปี 2022 ที่แอฟริกาตะวันออกประสบภัยแล้งรุนแรงที่สุดในรอบ 40 ปี ส่งผลให้ประชาชนกว่า 20 ล้านคนเสี่ยงต่อความอดอยาก
สาเหตุหลักของภาวะโลกร้อนคือการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) จากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งส่งผลให้ระดับ CO₂ ในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% ในปี 2567 ถือเป็นระดับสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของโลก นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า CO₂ ที่ตรวจพบในบรรยากาศมีลักษณะตรงกับแหล่งที่มาจากการเผาไหม้ฟอสซิลอย่างชัดเจน
สิ่งที่น่ากังวลคือ หากโลกยังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับเดิมหรือสูงขึ้น โอกาสที่อุณหภูมิโลกจะพุ่งเกิน 2.0 องศาเซลเซียสภายในปี 2050 มีความเป็นไปได้สูง และอาจนำไปสู่หายนะที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันดับสองของโลก ได้ถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส และมีแนวโน้มใช้พลังงานฟอสซิลเพิ่มขึ้น
หากโลกอุ่นขึ้นถึง 2.0 องศาเซลเซียส ผลกระทบจะรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก ได้แก่ ความถี่ของคลื่นความร้อนที่มากขึ้น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจทำให้บางเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกจมหายไป รวมถึงการกัดเซาะชายฝั่งในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างรุนแรง ความมั่นคงทางอาหารในหลายภูมิภาคจะเผชิญกับความเสี่ยงจากภัยแล้งและฝนตกหนักในระดับสุดขั้ว โรคที่ไวต่อสภาพอากาศ เช่น ไข้เลือดออกและไข้มาลาเรีย มีโอกาสแพร่กระจายเพิ่มขึ้น และสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก รวมถึงแนวปะการังทั่วโลก อาจสูญพันธุ์จากการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศอย่างรวดเร็ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- วิกฤตปะการัง! เกรทแบร์ริเออร์รีฟทรุดหนัก ปะการังลดลงมากสุดในรอบ 40 ปี
- วิกฤต “มาดากัสการ์” อาจจมหายทั้งเกาะ หากไม่เร่งป้องกัน
- สหรัฐฯอาจถอนตัว COP30 เปิดทาง “จีน” ครองบัลลังก์ ผู้นำโลกด้านสภาพภูมิอากาศ
- หนีร้อนผิดที่! นอร์ดิกร้อนทะลุ 30°C คลื่นความร้อนแรงสุดในศตวรรษ
- โลกใกล้แตะ 1.5 องศาฯ จุดเปลี่ยนสู่หายนะ แม้เดินถูกทาง แต่ยัง “ช้าเกินไป”