โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

“ผยง” เผยยุทธศาสตร์กรุงไทย “ดาว 5 ดวง” ยืนหยัดเป็นธนาคารพาณิชย์ของรัฐ เชื่อมโยงทุกระบบเศรษฐกิจเข้าด้วยกัน

การเงินธนาคาร

อัพเดต 2 กันยายน 2568 เวลา 21.27 น. • เผยแพร่ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

“ผยง” เผยยุทธศาสตร์กรุงไทย “ดาว 5 ดวง” พร้อมยืนหยัดเป็นธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ปรับโฉมจากธนาคารดั้งเดิมสู่ธนาคารที่ตอบโจทย์อนาคต ด้วย “Connect the Dots” ที่เชื่อมโยงทุกระบบเศรษฐกิจเข้าด้วยกัน

ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษในงาน Krungthai Executive Press Trip 2025 ถึงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของธนาคารกรุงไทยในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐที่มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจไทย

ตอกย้ำบทบาทธนาคารพาณิชย์ของรัฐ

ผยงกล่าวว่าเศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทาย และเติบโตต่ำ ธุรกิจหลายแห่งจึงหันไปเติบโตในต่างประเทศ สะท้อนได้จากเงินลงทุนไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศ ผ่าน FIF และการลงทุนของบริษัทไทยในต่างประเทศ สำหรับธนาคารกรุงไทย ยังเชื่อมั่นในศักยภาพในประเทศ แม้ว่าจะเผชิญความท้าทายหนักขึ้น ด้วยบทบาทของกรุงไทยที่เป็นธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ทำให้รัฐมีบทบาทสำคัญใน 3 ส่วนคือ

  • เป็นผู้กำกับดูแล (Regulator )
  • เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 55% (ผ่านกองทุนฟื้นฟู หรือFIDF)
  • ในฐานะพันธมิตร หรือ ลูกค้ารายสำคัญของธนาคาร

บทบาททั้ง 3 ด้านแยกออกจากกันชัดเจน แม้จะมีข้อสงสัยอยู่บ่อยครั้งว่า ธนาคารได้รับอภิสิทธิ์จากภาครัฐหรือไม่ หรือรัฐมีการแทรกแซงการดำเนินงานหรือเปล่า ขอยืนยันว่า รัฐไม่ได้แทรกแซง แต่เป็น DNA ของธนาคารในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ กรุงไทยจึงมีภารกิจที่ต้อง ทำเพื่อสังคมและประชาชนมากกว่าธนาคารทั่วไป ขณะเดียวกัน ก็ยังต้องยืนหยัดแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในช่วงหลายปีก่อน ธนาคารกรุงไทยต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เด้วยการวางรากฐานให้แข็งแรง ผ่านการประกาศนโยบายด้านธรรมาภิบาล การไม่ยอมรับต่อการทุจริต การบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ และการประกาศให้เป็น “องค์กรคุณธรรม” พร้อมกับการขับเคลื่อนนโยบาย “หนึ่งหน่วยงาน หนึ่งแผนความยั่งยืน”

สิ่งเหล่านี้กลายเป็น รากฐานสำคัญ (Foundation) ที่ช่วยให้ธนาคารเติบโตบนอัตลักษณ์ของการเป็น “ธนาคารพาณิชย์ของรัฐ” ซึ่งมีบทบาทมากกว่าการทำธุรกิจทั่วไป จากนั้น กรุงไทยได้กำหนดยุทธศาสตร์สำคัญในแต่ละปี หนึ่งในนั้นคือยุทธศาสตร์ X2G2X ซึ่งเป็นแนวทาง Supply Chain Financing เชื่อมโยงบริการทางการเงินระหว่าง ภาคธุรกิจ – ภาครัฐ – ประชาชน อย่างครบวงจร

ท่ามกลางความเสี่ยงและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ธนาคารจึงตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ ขับเคลื่อนแพลตฟอร์ม “Krungthai NEXT” และ “เป๋าตัง” พร้อมกัน ภายใต้แนวคิด Open Finance ซึ่งช่วยเชื่อมต่อบริการทางการเงินให้เข้ากับชีวิตประจำวันของคนไทยได้อย่างแท้จริง โดยธนาคารให้ความสำคัญกับ 5 ระบบนิเวศหลัก (5 Ecosystems) ที่ยังคงเป็นแนวทางในการดำเนินงานจนถึงปัจจุบัน คือ ระบบการชำระเงิน ระบบภาครัฐ ระบบขนส่งมวลชน ระบบการศึกษา ระบบสุขภาพและการรักษาพยาบาล Galaxy of Krungthai

จากธนาคารดั้งเดิมสู่ธนาคารที่ตอบโจทย์อนาคต “Connect the Dots” เชื่อมโยงทุกจุดเข้าด้วยกัน

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ธนาคารกรุงไทยได้ผ่านการปรับตัวครั้งใหญ่ใน 3 ระยะสำคัญ เพื่อเปลี่ยนผ่านจากธนาคารแบบดั้งเดิม สู่การเป็นธนาคารที่ตอบโจทย์อนาคตอย่างแท้จริง

  • เฟสแรก การบริหารจัดการความเสี่ยง โดยเฉพาะพอร์ตสินเชื่อโรงสีข้าวที่เคยมีจำนวนมาก ได้มีการตัดหนี้สูญ (Write-Off) ไปกว่า 70,000 ล้านบาท ปัจจุบันสามารถลดสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อกลุ่มนี้ลงเหลือเพียง ประมาณ 10%
    • เฟสที่สอง คือ Digital Transformation การวางยุทธศาสตร์เข้าสู่ระบบ Open Finance เปิดแพลตฟอร์มทางการเงินที่เชื่อมโยงกับบริการภาครัฐ ธุรกิจ และประชาชน ผ่าน Krungthai NEXT และ “เป๋าตัง”
    • เฟสที่สาม การขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ หรือ Future Business โดยได้ร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ ทำธุรกิจ Virtual Bank ขยายบทบาทธนาคารดิจิทัล

หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือ การเชื่อมโยงทุกจุดเข้าด้วยกัน หรือ “Connect the Dots” เช่น โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ที่มีการจัดสรรงบประมาณจากภาครัฐ ส่งต่อไปถึงผู้ประกอบการ โรงแรม ร้านค้า และนักท่องเที่ยวอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนกลับสู่ระบบเศรษฐกิจ

จากแนวคิด “Connect the Dots” ด้วยรากฐานทางดิจิทัลที่แข็งแกร่ง ทำให้ธนาคารสามารถเชื่อมโยงทุกภาคส่วนในระบบนิเวศเศรษฐกิจ ทั้งภาครัฐ ธุรกิจ และประชาชนเข้าด้วยกันได้อย่างไร้รอยต่อ ก่อให้เกิดระบบนิเวศ Galaxy of Krungthai หนึ่งในจุดเริ่มต้นของการสร้างระบบนี้ คือ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งช่วยให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยและประชาชนผู้ด้อยโอกาสสามารถเข้าถึงระบบการเงินดิจิทัล โดยธนาคารลงพื้นที่จริง ช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบาง ไม่ว่าจะเป็นชาวสวน ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้สูงอายุ เช่น คุณยายที่ไม่สามารถเดินทางได้ ธนาคารก็จัดเจ้าหน้าที่ไปสแกนใบหน้าถึงบ้าน

ขณะเดียวกัน ยังได้ร่วมกับ โครงการของ UNDP บนเกาะเต่า เพื่อช่วยเหลือกลุ่มประมง คนขับเรือ และคนตกงานในช่วงโควิด ด้วยการจ้างงานวันละ 200 บาท ให้ร่วมกันทำความสะอาดทะเล โดยมีการระดมทุนจากทั่วโลกผ่าน UNDP และหากยังไม่เพียงพอ ธนาคารก็พร้อมสนับสนุนเพิ่มเติม นอกจากนี้ ยังมีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวเพียง 5 บาท เพื่อนำรายได้นี้มาใช้ดูแลและรักษาความยั่งยืนของเกาะในระยะยาว

อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของธนาคารกรุงไทย คือการนำเทคโนโลยีมาช่วยขับเคลื่อนภาครัฐและสังคมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ความร่วมมือกับแพทยสภา ในการนำ เทคโนโลยีบล็อกเชน มาใช้กับระบบสาธารณสุข โดยพัฒนาระบบสำหรับเซ็นรับรองใบรับรองแพทย์ ส่งต่อข้อมูลคนไข้ระหว่างโรงพยาบาลและการสั่งยาในพื้นที่ห่างไกลช่วยลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก เพิ่มความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกให้กับบุคลากรทางการแพทย์และประชาชน

นอกจากนั้น ยังมีโครงการอื่นๆ ที่ธนาคารร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อนำโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีของธนาคารไปใช้ประโยชน์ในหลายด้าน เช่น โครงการ Smart University ยกระดับระบบการศึกษา ระบบ e-Court และ e-Filing ที่ช่วยให้สามารถยื่นฟ้องหรือยื่นพยานหลักฐานต่อศาลผ่านระบบออนไลน์ได้ โครงการ One Baht Bond ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนตั้งแต่วัยรุ่นอายุ 15 ปี ไปจนถึงผู้สูงวัยอายุ 90 ปี สามารถลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลได้ด้วยเงินเพียง 1 บาท สร้างโอกาสในการเข้าถึงการออมและการลงทุนอย่างเท่าเทียม การพัฒนาระบบ Krungthai NEXT สำหรับผู้พิการทางสายตา ให้สามารถใช้แอปผ่านระบบเสียงและการสัมผัสได้อย่างสะดวก ซึ่งโครงการนี้ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติจากวุฒิสภา

ทั้งหมดนี้สะท้อนถึง“รากฐาน” หรือ Foundation ที่ธนาคารกรุงไทยได้สร้างขึ้นในฐานะ ธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ที่ไม่เพียงให้บริการทางการเงิน แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึง

จากยุทธศาสตร์ที่ธนาคารกรุงไทยวางไว้ ทำให้สามารถพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ทั้งในภาคประชาชนและภาคธุรกิจ ประกอบด้วย

  • “ถุงเงิน” สำหรับร้านค้าและผู้ประกอบการรายย่อย
    • “เป๋าตัง” ระบบเปิดที่เชื่อมต่อโครงการภาครัฐกับประชาชน เช่น คนละครึ่ง
    • Krungthai NEXT แอปพลิเคชันธนาคารที่รองรับการทำธุรกรรมแบบครบวงจร
    • Krungthai Business สำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจ

การพัฒนาเหล่านี้ทำให้กรุงไทยเป็นที่รู้จักในระดับสากลมากขึ้น และได้รับความร่วมมือจากองค์กรชั้นนำทั่วโลก ล่าสุด ได้มีความร่วมมือกับ ธนาคารโลก (World Bank) ในการขับเคลื่อน ตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย โดยทำงานร่วมกับ กรุงเทพมหานคร และ การนิคมอุตสาหกรรม เพื่อนำพลังงานที่ประหยัดได้จากการติดตั้งโซล่าร์รูฟ มาแปลงเป็นคาร์บอนเครดิต และนำไปซื้อขายบนราคาตลาดสากล ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของประเทศไทย ในการเข้าสู่ระบบการเงินคาร์บอนเครดิตระดับโลก โดยอยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทยผ่าน SandBox

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากแนวคิด “Do Well = Do Good” ของธนาคาร ที่สร้างทั้งมูลค่าทางธุรกิจ และประโยชน์ต่อสังคมควบคู่กัน สะท้อนจากสิ่งที่ธนาคารกรุงไทยดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงโควิด ไม่เพียงแค่ช่วยรับมือวิกฤต แต่ยังต่อยอดจนสามารถสร้าง มูลค่าและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ให้กับองค์กรได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยเฉพาะในมิติของผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น และรัฐบาลในฐานะผู้ถือหุ้น 55% สะท้อนได้จาก ราคาหุ้นของธนาคาร ที่เคยลดลงเหลือเพียง 8 บาทต่อหุ้นในช่วงวิกฤต แต่ปัจจุบันปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 24–25 บาทต่อหุ้น นอกจากนี้ ธนาคารยังได้รับการยกระดับอันดับเครดิตจากสถาบันจัดอันดับชั้นนำ เช่น S&P แสดงถึงเสถียรภาพทางการเงิน และความเชื่อมั่นในอนาคตของธนาคาร

เผยยุทธศาสตร์ “ดาว 5 ดวง” เข้าใจง่ายและวัดผลได้จริง

ผยงกล่าวว่า ธนาคารกรุงไทยได้ปรับยุทธศาสตร์สำคัญ จาก“ดาว 7 ดวง” ให้เหลือเป็น “ดาว 5 ดวง” โดยลดความซับซ้อน เพื่อให้พนักงานและพันธมิตรสามารถเข้าใจและนำไปปฏิบัติได้ง่ายขึ้น โดยทุกเรื่องที่ธนาคารทำ จะต้องสามารถตอบได้ว่า “เราต้องการอะไรเป็นผลลัพธ์ (Output) และผลกระทบ (Outcome)” พร้อมทั้งเข้าใจองค์ประกอบ วิธีการบริหารจัดการ และมีโครงสร้างรองรับที่ชัดเจน ทั้งด้านเทคโนโลยี โมเดลธุรกิจ และการพัฒนาคน

ทั้งนี้ เดิมธนาคารเคยแบ่งธุรกิจออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือRetail Banking,Digital Banking และWholesale Banking ในส่วนของ Digital Banking ได้มีการแยกออกมาเป็น Speed Boat เพื่อให้คล่องตัวในการพัฒนานวัตกรรม ซึ่งปัจจุบัน Speed Boat ของธนาคารสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ สามารถ ผสานบริการทั้งออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด ภายใต้แนวคิด “ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” ซึ่งต้องอาศัย AI เข้ามาช่วยในการประมวลผลข้อมูล สร้างบริการที่ ตรงใจ (Personalized) และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

โดยธนาคารนำแนวคิด Open Platform มาให้บริการ ด้วยการดึงผลิตภัณฑ์จากพันธมิตรภายนอก รวมถึงบริษัทในเครือเข้ามาอยู่บนแพลตฟอร์มเดียวกัน พร้อมกับการประมวลผลข้อมูลเชิงลึก (Deep Analytics) ด้วย AI และฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อสร้างบริการที่ตอบโจทย์ได้อย่างชาญฉลาด

ในด้าน Wholesale Banking ธนาคารยังคงยึดแนวทางเดียวกัน โดยโฟกัสไปที่ 5 Ecosystems หลัก พร้อมสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง (Industry Expertise) ในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม สำหรับประเด็นเรื่อง คาร์บอนเครดิตและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ธนาคารมีแผนงานที่ชัดเจนสอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero Emission ภายในปี 2050 โดยได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจให้เดินหน้าไปในทิศทางเดียวกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจผลิตไฟฟ้า ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถ Catch Up เป้าหมายการลดคาร์บอนได้ทัน และต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีศักยภาพต่อไป

เปิด 5 ยุทธศาสตร์ธนาคารปี 2568 เสริมทักษะ สร้างคุณค่า สู่อนาคต

ผยงกล่าวว่า ในปี 2568 ธนาคารกรุงไทยมุ่งขับเคลื่อนองค์กรภายใต้แนวคิด “Corporate Value Creation : เสริมทักษะ สร้างคุณค่า สู่อนาคต” โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะแห่งอนาคต (Future Skills) แก่พนักงาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานร่วมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ เสริมศักยภาพการแข่งขันของธนาคาร พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มในทุกมิติ โดยเน้นการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีและสร้างคุณค่าร่วมกับลูกค้า เพื่อนำไปสู่การเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนขององค์กรในระยะยาว โดยดำเนินการภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ใหม่ ที่สอดรับกับบริบทเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประกอบด้วย

  • สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและผลกำไรจากระบบนิเวศธุรกิจในปัจจุบันของธนาคารอย่างเต็มศักยภาพ เร่งต่อยอดยุทธศาสตร์ X2G2X ให้เกิดการเชื่อมโยงในเชิงลึกในกลุ่มลูกค้าต่างๆ ทั้ง B2B B2C G2B และ G2C และมี Platform ที่ตอบโจทย์คู่ค้าของลูกค้านำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการในรูปแบบ “Total Solutions” ตลอดจนประสานการดำเนินธุรกิจทั้งในส่วนของธนาคารและบริษัทในกลุ่มธุรกิจของธนาคารในลักษณะ One Krungthai
  • สร้างแพลตฟอร์มที่ส่งเสริมการเติบโตในอนาคต เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างครบวงจร ทำให้ประชาชนทุกระดับชั้นเข้าถึงแหล่งเงินทุนและบริการทางการเงินได้ดียิ่งขึ้น และเป็นมากกว่าการให้บริการทางการเงิน ได้แก่ Wealth-Tech Virtual Banking, Banking as a Service เป็นต้น รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทาง ESG และการพัฒนาที่ยั่งยืน
  • ยกระดับการให้บริการลูกค้าทั้งระบบแบบ End to End นำเสนอรูปแบบและวิธีการบริการใหม่ๆ จากต้นจนจบที่ทันสมัย รวดเร็ว ปลอดภัย และเชื่อมโยงกันมากขึ้น ปรับปรุงกระบวนการทำงานให้เป็น Process Digitalization โดยเร่งนำข้อมูลและเทคโนโลยีมาใช้ในกระบวนการทำงาน สามารถตอบโจทย์ได้ตรงรูปแบบและประเภทลูกค้าทั้งลูกค้าธุรกิจและลูกค้าบุคคลผ่านช่องทางหลากหลายโดยเฉพาะ Digital Channel
  • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีและข้อมูลให้พร้อมสำหรับการก้าวสู่อนาคต เพื่อสนับสนุนการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุด และสร้างความมั่นใจของลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจในการใช้บริการของธนาคาร รวมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งในด้าน Data Analytics เพื่อให้เข้าใจความต้องการของลูกค้าและก้าวเข้าสู่การเป็น Personalized Banking ผ่านหลากหลายช่องทาง
  • ขับเคลื่อนวัฒนธรรมและการทำงานรูปแบบใหม่ เพื่อให้พร้อมต่อทุกความท้าทายและทุกการเปลี่ยนแปลง สร้างรูปแบบใหม่ในการทำงาน กล้าเปลี่ยน เพื่อก้าวนำ เร่งปรับวิธีการทำงานรูปแบบใหม่ พร้อมยกระดับพนักงานให้มีทักษะใหม่ๆ (Upskill / Reskill) โดยเฉพาะทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Literacy) ตลอดจนสามารถดึงดูดและรักษาคนดี คนเก่งให้คงอยู่กับธนาคาร พร้อมมุ่งสู่การเป็นองค์กรต้นแบบให้พนักงานทุกคนภาคภูมิใจในการเป็นกรุงไทย

เดินหน้า Virtual Bank ในชื่อ “คลิกซ์”

โครงการ Virtual Bank ของธนาคาร กำลังเดินหน้าต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทและประกาศชื่ออย่างเป็นทางการในชื่อธนาคาร คลิกซ์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินงานอยู่ภายใต้บริษัท ไทย ทรินิตี้ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งที่ถือหุ้นโดยพันธมิตร 3 ราย ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย 41% AIS 39% และPTTOR 20% โดยธนาคารคลิกซ์จะไม่หยุดแค่การเป็นธนาคารดิจิทัลเท่านั้น แต่ตั้งเป้าขยายบทบาทสู่ “Beyond Banking” ผ่านการพัฒนาในหลายด้าน เช่น Data Center ระบบ Contact Center และการประยุกต์ใช้ AI เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้า

Venture Capital

ในด้านการลงทุนผ่าน Corporate Venture Capital (CVC) ธนาคารได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการให้สามารถลงทุนได้สูงสุดถึง 10,000 ล้านบาท จนถึงปัจจุบัน ได้ใช้ไปแล้วประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายหลักไม่ใช่เพียงเพื่อหวังผลตอบแทนทางการเงินแบบ VC ทั่วไป แต่เพื่อสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ (Partnership) พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Products) สนับสนุนการควบรวมกิจการ (M&A) และที่สำคัญคือ ขับเคลื่อน Ecosystem ที่เชื่อมโยงกับธุรกิจหลักของธนาคาร ที่ผ่านมา ธนาคารได้ร่วมลงทุนในสตาร์ทอัพหลายด้าน ทั้งกลุ่มเทคโนโลยีและธุรกิจท่องเที่ยว โดยใช้ CVC เป็น“Springboard” สำหรับต่อยอดนวัตกรรมและขยายขอบเขตการให้บริการในอนาคต

Investment Strategy มุ่งสร้างประโยชน์ให้ลูกค้า

ธนาคารกรุงไทยมีจุดแข็งด้านการลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุน โดยเน้นการสร้างประโยชน์ให้กับลูกค้า มากกว่าการมุ่งเน้นกำไรเพียงอย่างเดียว กลยุทธ์สำคัญคือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนให้เข้าถึงง่าย เพื่อให้ลูกค้ารายย่อยสามารถเข้าถึงโอกาสการลงทุนแบบเดียวกับนักลงทุนสถาบันได้ จากแนวทางนี้ ทำให้มีเงินทุนใหม่ไหลเข้าสู่ระบบของธนาคารมากกว่า 100,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ ด้วยพลังของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จะทำให้เกิดการเชื่อมต่อโลกการเงินปัจจุบันกับโลกการเงินในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใหม่ของการเงินอย่าง CBDC (สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง), Token และ Stablecoin สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นบนพื้นฐานของ ความน่าเชื่อถือ (Trust) และ ความมั่นใจ (Confidence) อย่างแน่นอน หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงสำคัญคือเรื่อง ระบบการชำระเงิน (Settlement System)จากเดิมที่ใช้เวลา T+1, T+2 หรือ T+3 (หนึ่งถึงสามวันทำการ) ในการรับเงิน ปัจจุบัน ธนาคารสามารถพัฒนาให้กลายเป็น T+0 หรือ รับเงินทันทีแบบ Real-Time ได้ ซึ่งได้เปิดตัวระบบดังกล่าวแล้ว นับเป็นเป็นอีกก้าวของการสร้าง โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่ทันสมัยแบบ Real-Time

ปฏิรูปการให้บริการและปรับวิธีทำงานของพนักงาน

ธนาคารได้ยกระดับการให้บริการ จากการพึ่งพาสาขาแบบเดิม มาสู่การทำงานรูปแบบใหม่ พนักงานไดเร็คเซลล์ สามารถออกไปพบลูกค้านอกสถานที่ โดยใช้ แท็บเล็ต ที่สามารถยืนยันตัวตนและให้บริการได้แบบครบวงจร ทั้งหมดนี้ดำเนินการภายใต้หลัก Market Conduct ที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย

ในส่วนของ ธุรกิจ SME ได้จัดตั้ง Business Service Center เพื่อให้บริการแบบครบวงจร (End-to-End Fulfillment) ซึ่งเริ่มต้นทดลองในแซนด์บ็อกซ์ และจะทยอยขยายครอบคลุมภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคกลาง และกรุงเทพฯ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน ไตรมาส 1 ปีหน้า

พร้อมกันนี้ ธนาคารยังมีบริการ Biz Now เพื่อเสริมศักยภาพการขาย และลดต้นทุนการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ธนาคารให้ความสำคัญกับเรื่อง“คน” เป็นอย่างมาก โดยมีนโยบาย“หนึ่งหน่วยงานหนึ่งแผนความยั่งยืน” เพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังจัดโครงการ Hackathon ภายใต้ชื่อ Wolf Hack เพื่อค้นหาพนักงานที่มีไอเดียสร้างสรรค์จากทั่วประเทศ เปิดโอกาสให้พนักงานได้แสดงความคิดและแข่งขันกันเพื่อหาแชมป์ประจำปี

ในปีนี้ มี 5 ทีมที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย และธนาคารได้มอบรางวัลให้ทุกทีมด้วยการส่งไปอบรมและเรียนรู้จากมหาวิทยาลัยชั้นนำใน สิงคโปร์ จีน และสหรัฐอเมริกา เพื่อสร้าง“ผู้นำแห่งอนาคต” ที่มีความคิดสร้างสรรค์และสามารถนำไอเดียไปใช้งานได้จริง

ตัวอย่างหนึ่งของทีมที่น่าสนใจคือ“กรุงไทยใกล้บ้าน” ซึ่งเน้นช่วยผู้สูงอายุที่ต้องเดินทางไกลมาใช้บริการธนาคาร ด้วยแนวคิดที่จะให้ชุมชนหรือคอมมูนิตี้ในท้องถิ่นสามารถให้บริการพื้นฐานทางการเงิน (Basic Banking) ได้อย่างสะดวกใกล้บ้าน

ขับเคลื่อน ESG สร้างคุณค่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

สำหรับการดำเนินธุรกิจโดยให้ความสำคัญกับ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) นั้นธนาคารกรุงไทยพร้อมนำแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติมาปรับใช้ เพื่อขับเคลื่อนสังคม เศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกัน โดยมุ่งการสร้างคุณค่าให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ทั้งลูกค้า พนักงาน ผู้ถือหุ้น และชุมชน

ทั้งนี้ การขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทาง ESG เป็นแนวทางที่ฝังอยู่ในทุกกิจกรรมทางธุรกิจ เพื่อการก้าวสู่การเติบโตที่ยั่งยืน โดยธนาคารได้เริ่มดำเนินการด้านการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งใน

  • Scope 1 ซึ่งเป็นการลดการปล่อยจากกิจกรรมขององค์กร เช่น เปลี่ยนรถธนาคารเป็น EV ลดการใช้ทรัพยากร
    • Scope 2 ใช้พลังงานสะอาด ลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
    • Scope 3 จัดการการปล่อยคาร์บอนทางอ้อมจากลูกค้า โดยเริ่มจากภาคพลังงาน (Power Generation) และเตรียมขยายสู่ภาคอุตสาหกรรมอื่นในเร็วๆ นี้

นอกจากนี้ ธนาคารยังเตรียมขยายกลยุทธ์ ESG สู่ฝั่งธุรกิจค้าปลีกและภาครัฐ เช่น สินเชื่อบ้านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สินเชื่อสำหรับติดตั้ง Solar Roof หรือแม้แต่การพัฒนาแพลตฟอร์มกลางสำหรับการเชื่อมโยงผู้ผลิต-ผู้บริโภคในระบบพลังงานสะอาด

ธนาคารมองว่า ความเปลี่ยนแปลงนี้จะนำไปสู่ "โอกาสทางธุรกิจใหม่" ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) การให้บริการ FX และ Trade Finance สำหรับธุรกิจพลังงานสะอาด รวมถึงการสนับสนุนลูกค้าและคู่ค้าในการเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

ภาพรวมผลประกอบการท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน

แม้เศรษฐกิจจะยังเผชิญความไม่แน่นอนจากปัจจัยรอบด้าน แต่ผลประกอบการของธนาคารกรุงไทยยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในด้านความมั่นคงของฐานะการเงินและวินัยในการบริหารความเสี่ยง

  • สินเชื่อโดยรวม ในปีนี้มีแนวโน้มทรงตัว เนื่องจากภาพรวมสินเชื่อของประเทศชะลอลง อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังสามารถขยายสินเชื่อได้ดีในกลุ่ม Home for Cash ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้านำที่อยู่อาศัยมาเป็นหลักประกันเพื่อใช้เป็นเงินทุนในการประกอบอาชีพ ส่วนสินเชื่อกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ปรับลดลงเล็กน้อยจากภาวะการลงทุนที่ยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่สินเชื่อ SME ยังเติบโตได้จำกัด
    • ด้านคุณภาพสินทรัพย์ ธนาคารบริหารจัดการอย่างระมัดระวัง โดยมีการตั้งสำรองในระดับสูงเมื่อเทียบกับธนาคารคู่แข่ง เพื่อสร้างความยืดหยุ่นในการรับมือกับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด (Shock) NPL (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และ Credit Cost อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้
    • รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-interest Income) โดยเฉพาะรายได้จากตลาดเงินและตลาดทุน มีแนวโน้มเติบโตดี เสริมความแข็งแกร่งให้กับงบดุลโดยรวม ขณะเดียวกัน ROE (ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น) ยังสามารถเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนถึงความสามารถในการสร้างผลตอบแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในด้านการลงทุน ธนาคารยังคงใช้หลัก “วินัยทางการเงิน” อย่างเข้มงวด ทุกโครงการลงทุนต้องสอดคล้องกับศักยภาพในการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน เพื่อหลีกเลี่ยงการลงทุนเกินตัว และไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงระยะยาว
    • การจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น เป็นอีกหนึ่งจุดเด่น โดยธนาคารปรับอัตราการจ่ายปันผลขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 50% ของกำไรสุทธิ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับผู้ถือหุ้น โดยเฉพาะในช่วงที่ธนาคารมีงบดุลแข็งแรงและมีความพร้อมรองรับการเติบโต

อย่างไรก็ตามแม้ธนาคารไทยจะมีผลประกอบการที่มั่นคง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับธนาคารในต่างประเทศ จะเห็นได้ว่า ตัวชี้วัดด้านการลงทุน เช่น PE (Price-to-Earnings), ROE และ Dividend Yield ของธนาคารไทยยังอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ สะท้อนถึงการรับรู้ของตลาดเงินและตลาดทุนว่ายังมีข้อจำกัดในการสร้างผลตอบแทน เมื่อเทียบกับภาคธุรกิจอื่น

ประเด็นนี้จึงต้องอาศัยการสื่อสารที่ชัดเจนจากทั้งภาคธนาคารและหน่วยงานกำกับอย่างธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่สาธารณชน ไม่เช่นนั้นอาจถูกเข้าใจผิดว่า “ธนาคารกำไรอู้ฟู้” โดยไม่เห็นบริบทของกลไกตลาดที่แท้จริง

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องกับ วงการธนาคาร ทั้งหมด ได้ที่นี่

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก การเงินธนาคาร

หุ้นไทย ปิดบวก 4.30 จุด แรงซื้อหุ้นกลุ่มปิโตรฯหนุน คาดหวังการเมืองชัดเจนใน 1-2 สัปดาห์

38 นาทีที่แล้ว

บสย. ออกมาตรการ ค้ำประกันสินเชื่อ “รถกระบะมือสอง” สูงสุดรายละ 8 แสนบาท

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ตลาดหุ้นเอเชีย ปิดผสมผสาน ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ปิดบวก ขณะที่จีน-ฮ่องกงเผชิญแรงขายหุ้นเทคฯ

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เซ็นทรัล รีเทล เปิดตัว “ท็อปส์ ฟู้ด ฮอลล์” คอนเซ็ปต์ใหม่ “Food Fashion Department Store”

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

กรมทรัพย์สินทางปัญญา ดันสินค้าอัตลักษณ์ชุมชนชื่อดัง ขึ้นทะเบียน GI เพิ่มศักยภาพและขับเคลื่อนเศษฐกิจ หนุนรายได้ชุมชน ล่าสุดบรรจุขึ้นทะเบียน 237 สินค้า

BTimes

หุ้นไทยปิดบวก 4.30 จุด เกาะ 1,248.78 จุด เม็ดเงินเข้าหุ้นรพ.-ปิโตรฯ

ฐานเศรษฐกิจ

พาณิชย์คุมโรงงานอาหารสัตว์ รับซื้อข้าวโพด 9.80 บาท/กก.

TNN ช่อง16

ครม.เคาะ พ.ร.บ.เพิ่มขีดแข่งขัน เกณฑ์ OECD

TNN ช่อง16

บสย. จัด 1 พันล้าน ค้ำประกันกระบะมือสอง ต่อยอด ‘กระบะพี่ มีคลังค้ำ’

ฐานเศรษฐกิจ

มาถูกทางแล้ว! โปร “คุ้ม คุ้ม อิ่มไม่อั้น 299″ เอ็มเค ทำมา 3 เดือน ยอดขายโต 5%

SMART SME

ประเด็นร้อนเศรษฐกิจรอบวัน 2 ก.ย.68

สยามรัฐ

ICS Lifestyle Complex อัดแคมเปญส่งท้ายปลายฝนต้นหนาว

เดลินิวส์

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...