เที่ยวลำปาง มุมมองใหม่ ‘VIJIT Lampang’ สว่างไสวเสน่ห์เหนือกาลเวลา
ปรากฏการณ์แสงสีเสียงสุดอลังการ “Vijit @ลำปาง” หรือ “วิจิตร ลำปาง” ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ปลุกชีวิตชีวา ให้เมืองลำปาง เต็มไปด้วยสีสัน และนำพาเราย้อนเวลา กลับไปรำลึกถึงเรื่องราว และจิตวิญญาณของเขลางค์นคร ผ่านนวัตกรรมแสง สี เสียง และสื่อผสมอันทันสมัย เรียงร้อย 4 ย่านไฮไลท์ของลำปาง ให้กลายเป็นเรื่องเล่าผ่านแสงไฟ
ยกนิ้วให้กับกิมมิก วิจิตรลำปาง ที่เก๋มากๆ เพราะจุดจัดแสดงไม่ได้มัดรวมอยู่ในพื้นที่เดียวกันเหมือนพื้นที่วิจิตรในเมืองอื่นๆ แต่กระจายพื้นที่จัดงานไปใน 4 ย่านหลัก ได้แก่ ย่านใจกลางเขลางค์นคร ย่านสบตุ๋ย ย่านกาดกองต้า และย่านท่ามะโอ เราสามารถนั่งรถราง ชมการแสดงในแต่ละพื้นที่ได้ฟรี จะเดินเที่ยว หรือ นั่งรถม้าไปตามจุดต่างๆ
เนรมิต 13 พื้นที่จัดแสดงให้ค่ำคืนนครลำปาง สว่างไสวเรืองรอง วิจิตรตระการตา ไปกับจุดบรรจบอย่างลงตัวระหว่างไลท์แอนด์ซาวด์ เทคโนโลยีสื่อผสม Laser Mapping, Projection Mapping, Illumination ผสมผสานวัฒนธรรม สะท้อนอัตลักษณ์ของพื้นที่อย่างสร้างสรรค์
เปลี่ยนค่ำคืนธรรมดาให้กลายเป็นช่วงเวลาแห่งจินตนาการเหนือความคาดหมาย สมคอนเซ็ปต์การจัดงาน “นครลำปาง เสน่ห์เหนือกาลเวลา” Lampang : The Timeless City
3 พื้นที่ไฮไลท์ห้ามพลาด วิจิตร ลำปาง
เราปักหมุดกันที่จุดแสดงไฮไลท์ห้ามพลาด จำนวน 3 พื้นที่ ที่มาเหนือมากๆ นั่นก็คือ บริเวณ “สะพานแขวน” หรือที่คนลำปางรู้จักกันดีว่า “สะพานส้ม” โอโหตื่นตาไปกับการย้อมสีสะพานหลากสี ผ่านเทคโนโลยี Illumination ประกอบเลเซอร์ และไลท์แอนด์ซาวด์ ประกอบบทประพันธ์เพลงใหม่
โดยครูแอ๊ด (ภานุทัต อภิชานาธง) นำเราก้าวข้ามผ่าน “กาลนิรันดร์ The Crossing of Eternity” ส่งมอบความสุขสดใส ยามค่ำคืนอันน่าอัศจรรย์
ขณะที่การจัดแสดงบริเวณ “วัดเชียงราย” เติมเต็มมนต์ขลังของวัดแห่งนี้ให้มีมิติแห่งความศรัทธาที่มากกว่าเดิม กับการแสดง Laser Mapping จากลำแสงเลเซอร์ที่ฉายแสงบนโบราณสถานสถาปัตยกรรมล้านนา ที่มาในธีม “Chapter of Faith : บทบันทึกแห่งศรัทธา" จนเกิดเป็นความงามที่ล้ำสมัย เชื่อมปัจจุบัน กับอดีตที่น่าสนใจ
หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมชื่อวัดเชียงราย แต่มาอยู่ที่ลำปาง นั่นเป็นเพราะผู้ที่สร้างวัด คือ เจ้าชมภู บุตรชายของเจ้าพระยาเจ่ง ที่ได้อพยพมาจาก เมืองเชียงรายและมาตั้งรกรากที่ลำปางหลังจากนั้นจึงสร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจและเพื่อรำลึกถึงเมืองเชียงรายนั่นเอง
ส่วนจุดจัดแสดงที่ได้ใจเราสุดๆอยู่ตรงที่การใช้เทคโนโลยี Projection Mapping ฉายลงบนตึกสไตล์โคโลเนียน ของ “พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย” (สาขาลำปาง) บอกเล่าเรื่องราวของนครลำปาง ตั้งแต่อดีตปัจจุบัน รวมถึงการเปลี่ยนผ่านของเมือง และเหตุการณ์สำคัญในอดีต ที่ส่งผลมาถึงภาพของนครลำปางในยุคปัจจุบัน สะท้อนถึง “The Timeless Bank : ธนาคารสะสมกาล”
ที่นี่เป็นเหมือน “ขุมทรัพย์แห่งกาลเวลา” เพราะเคยเป็นที่ตั้งของบริษัท แบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด(ธนาคารไทยพาณิชย์ ในปัจจุบัน) สาขาลำปาง ก่อตั้งในปี 2473 สมัยรัชกาลที่ 7 เนื่องจากนครลำปางมีความเจริญรุ่งเรืองทางธุรกิจด้านการค้าและป่าไม้ แต่ยังขาดแคลนเงินบาทและเงินเหรียญไทย ประชาชนต้องใช้เงินรูปีของพม่า ทำให้เกิดการเสียดุลธนาคารมีบทบาททำให้ประชาชนหันมาใช้เงินของไทย
โดยนับเป็นธนาคารแห่งแรกในจังหวัดลำปาง และเป็นบริษัทแบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด สาขาที่ 3 ต่อจากสาขาทุ่งสง และสาขาเชียงใหม่ ใน 3 จุดแสดงไฮไลท์นี้ จัดเต็มการแสดงสุดปัง โดยจะมีรอบโชว์มากถึง 16 รอบต่อวัน ตั้งแต่เวลา 18.00 –23.05 น.
แสงสีย่านใจกลางเขลางค์นคร
ส่วนในพื้นที่จัดแสดงอื่นๆที่เหลือก็จะเป็นการจัดแสดงแสงสี ในพื้นที่เอกลักษณ์ต่างๆของลำปาง เราเริ่มกันที่ “ย่านใจกลางเขลางค์นคร” ชิลล์มากกับการได้เห็น “หอนาฬิกา” ใจกลางเมือง เต็มไปด้วยแสงสี หลากหลายโทนสี ที่ปรับเปลี่ยนไปมา ตาม “The Rhythm of Lampang” หรือจังหวะของลำปางนั่นเอง
ขณะที่บริเวณด้านหน้า “หอปูมละกอน” ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเล่าเรื่องเมืองลำปาง ก็มีนำ Art & Light Installation มาสร้างสรรค์แสงสี ในธีม “The Flow of the Swan ลำนำหงส์เหนือกาล” สะท้อนถึงอัตลักษณ์ของเมืองลำปาง ที่ไม่หมุนตามกาลเวลา
ใกล้ๆกันยังมีการแสดงน้ำพุดนตรี สายน้ำที่พริ้วไหวไปเสียงเพลง รื่นรมณ์จริงๆ
อีกมุมมหาชน อยู่ที่ “สวนสาธารณะห้าแยกหอนาฬิกา” เราจะพบเห็นหัวใจดวงโต สะท้อนถึง “ Heart of Lampang” หรือ ดวงใจแห่งลำปาง การแสดง Lighting Installation ศิลปะแสงที่มีรูปแบบเป็นงานประติมากรรม โดยใช้ไก่ ที่เปรียบเสมือน สัญลักษณ์ของนครลำปาง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ และจิตวิญญาณ พลิกโฉมสถานที่แห่งนี้ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ปลุกชีพยุครุ่งเรืองย่านกาดกองต้า
ฟีลบรรยากาศบ้านเก่าสไตล์สารพัดชาติ ที่ถูกแต่มแต้มไปด้วยแสงสี ให้กลับคืนสู่ยุครุ่งเรืองในอดีต ผ่านเรื่องราวของบ้าน 3 สไตล์ ได้แก่ กาดกองต้า บ้านแม่, อาคารหม่องโง่ยซิ่น และ อาคารเยียนซีไท้ลีกี ซึ่งตั้งอยู่บริเวณตลาดเก่าร้อยปีของเมืองลำปาง ริมแม่น้ำวัง ใกล้สะพานรัษฎาภิเศก เดิมที่นี่เคยเป็นท่าเรือและศูนย์กลางค้าไม้ จึงรายล้อมไปด้วยอาคารเก่าผสมผสานศิลปะล้านนา ตะวันตก จีน เมียนมา ไทใหญ่
“อาคารเยียนซีไท้ลีกี” จัดว่าเป็นตึกฝรั่ง หัวใจจีน เพราะที่นี่สร้างโดยคหบดีจีน การใช้แสงไฟที่เน้น “เงา” และ “ลวดลาย” ดั้งเดิมของสถาปัตยกรรมอาคาร สร้างความเป็น Hall of Light and Shadow หรือ หอการค้าแห่งแสงเงา ทำให้อาคารแห่งนี้ที่เคยเป็นศูนย์กลางทางการค้า ที่เปิดรับโลกสมัยใหม่ แต่ยังรักษารากวัฒนธรรมจีนไว้ ปลุกชีวิตให้กับอดีตแห่งการค้ารุ่งเรืองของที่นี่
“บ้านแม่แดง” (ร้านเกากี่) โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรม ไทย-จีน-ตะวันตก ที่ผสมผสานอย่างงดงาม อดีตเคยเป็นร้านขายของเบ็ดเตล็ดที่ทันสมัย และมีชื่อเสียง สะท้อนให้เห็นถึงความรุ่งเรืองทางการค้า และวัฒนธรรมอันหลากหลายของเมืองลำปาง และ “อาคารหม่องโง่ยซิน” ตัวแทนยุคทองของกิจการป่าไม้ลำปาง สะท้อนวัฒนธรรม ไทย-เมียนมา-ยุโรป แสง
แสง และ เงา สาดส่องย่านท่ามะโอ
ข้ามโซนออกมาแถว “ท่ามะโอ” ไปที่ “วัดเกาะวาลุการาม” Glimmer of Enlightenment ประกายแห่งปัญญาแสงไฟที่เนรมิตวัดเกาะวาลุการาม ในรูปแบบ Light installation ให้เปล่งประกาย สะท้อนภาพแห่งศรัทธา และ ภูมิปัญญาเขลางค์
แล้วเราก็ได้มาเยือน “บ้านหลุยส์ ที เลียวโนเวนส์” ตำนานของบริษัทค้าไม้ แห่งนครลำปาง ซึ่งในอดีตลำปางเป็นหนึ่งในจังหวัดภาคเหนือของไทย ที่มีการเปิดสัมปทานป่าไม้ให้กับคนต่างชาติ
บ้านหลุยส์ จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวที่มีความสำคัญ และล่าสุดถูกนำจัดแสดงผ่านแสงเงา และเสียง เพื่อบอกเล่า Shadow Forest house หรือ รอยเงาแห่งเรือนป่า ทำให้อาณาจักรบ้านหลุยส์ สถาปัตยกรรมเก่าแก่ กลับมามีชีวิตชีวา เผยให้เห็นถึงความรุ่งเรืองในอดีต และเน้นย้ำว่าสถานที่แห่งนี้มีความสำคัญต่อการก่อร่างสร้างเมือง
สีสันเส้นทางสายรถไฟย่านสบตุ๋ย
ด้วยความที่ย่านสบตุ๋ย เป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟนครลำปาง ทำให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอิน จึงเป็นอีกย่านที่ถูกปรับโฉมเพื่อสร้างสีสันใหม่ในยามค่ำคืน แวะไปได้ที่ “ สวนรถไฟสะพานดำ” พบกับ 3 ธีมการแสดงแสงสี ในธีมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น The Locomotive Light หอประทีปรถจักร ประติมากรรมแสงไฟที่ถูกรังสรรค์ขึ้นจากวัสดุเก่าของระบบรถไฟในอดีต เป็นสัญลักษณ์ของ กาลเวลาที่ถูกหล่อหลอมใหม่ แสดงให้เห็นว่าอดีตและปัจจุบันสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืนและเปี่ยมด้วยความหมาย
รวมถึง Fire Memory ไฟแห่งความทรงจำ ประติมากรรมแสงจากคันชัก และประแจขนาดใหญ่ นำกลับมาสร้างชีวิตใหม่ ราวกับเปลงไฟที่กำลังจุดติด สื่อถึงพลังงานความร้อนในยุคทองของรถไฟ และจิตวิญญาณแห่งความเคลื่อนไหวที่ยังคงลุกโชน และ Echo of the Hooves เสียงสะท้อนแห่งกาลเวลา ประติมากรรมรถม้า จากชิ้นส่วนรถไฟเก่าสะท้อนอัตลักษณ์ลำปาง เมืองที่เคลื่อนไปพร้อมอดีต แสง และพุ่มไม้โค้งเคลื่อนไหวรอบๆ ราวกับคลื่นแห่งกาลเวลา ที่โอบอุ้มเรื่องราวความทรงจำของเมืองไว้อย่างอ่อนโยน
ใครไปเที่ยวลำปางตั้งแต่วันที่ 5-14 กันยายนนี้ จะได้สัมผัสกับ VIJIT @ Lampang ประสบการณ์ท่องเที่ยวในแบบมิติใหม่ รังสรรค์ให้ลำปางเต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งสีสันอันเป็นอัตลักษณ์ และคงเสน่ห์เหนือกาลเวลานั่นเอง