มติ ครม. อนุมัติเงินช่วยเหลือชาวนา 4.4 หมื่นล้าน เริ่มจ่าย ก.ย. นี้
มติ ครม. อนุมัติเงินช่วยเหลือชาวนา 4.4 หมื่นล้าน เริ่มจ่าย ก.ย. นี้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุม คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2568 ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเปลือกนาปรังปีการผลิต 68 และข้าวเปลือกนาปีปีการผลิต 68/69 โดยจ่ายเงินสนับสนุนไร่ละ 1,000 บาท รายละไม่เกิน 10 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาทต่อครัวเรือน ใช้งบประมาณรวมกว่า 44,000 ล้านบาท เพื่อบรรเทาผลกระทบจากราคาข้าวตกต่ำและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นตรงกันว่าจำเป็นต้องมีมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน แม้รัฐบาลจะมีมติไม่อุดหนุนต่อเนื่องในระยะยาว แต่กรณีปีนี้ถือเป็นสถานการณ์พิเศษที่ต้องเว้นหลักเกณฑ์
“เราได้มีการคุยกันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องข้าว โดยในปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ขณะที่อินเดียเปิดให้ส่งออกข้าว ส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกลดลงอย่างมากจนต่ำกว่าต้นทุนการผลิต เกษตรกรหลายรายจึงประสบภาวะขาดทุน” รมว.คลัง กล่าว
สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ จะมีการเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบเพื่อดำเนินการจ่ายเงินต่อไป
สำหรับข้าวนาปรัง จะใช้งบประมาณราว 7,200 ล้านบาท ซึ่งต้องมีการลงทะเบียนและตรวจสอบ โดยยืนยันว่ายังมีเงินเหลือจากปีที่แล้ว เนื่องจากงบบางอย่างได้เตรียมไว้แล้ว โดยคาดว่าภายในเดือน ก.ย.นี้
ส่วนข้าวนาปีใช้งบราว 36,000 ล้านบาท คาดว่าจะจ่ายได้ภายหลังการลงทะเบียนและตรวจสอบสิทธิในปลายปีหน้า โดยเงินจะโอนเข้าบัญชี ธ.ก.ส. ของเกษตรกรโดยตรง โดยจะใช้งบประมาณจากมาตรา 28 จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ได้รับกว่า 4 ล้านครัวเรือน
“การใช้มาตรา 28 ของ ธ.ก.ส. เราก็มีทยอยคืนบ้างแล้ว ซึ่งจริง ๆ ยอดยังห่างจากที่ขอไว้เยอะ โดยส่วนใหญ่เกษตรกรเปิดบัญชีกับ ธ.ก.ส. อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเข้ามาตรา 28 มั่นใจว่าถึงมือเกษตรกรแน่นอน” นายพิชัย กล่าว
ทั้งนี้ ข้าวนาปรัง จะแจกปีนี้ครั้งเดียวเป็นครั้งสุดท้าย และรอบหน้าจะไม่มีการแจกเงินอีก โดยรัฐบาลมีข้อแม้ว่า จะไม่สนับสนุนการปลูกพันธุ์ข้าวที่ไม่มีคุณภาพ และส่งเสริมให้ลดพื้นที่ปลูกในพื้นที่ไม่เหมาะสม พร้อมผลักดันการปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชหรือพันธุ์ข้าวที่มีมูลค่าสูง เช่น ข้าวหอมมะลิและข้าวอินทรีย์ ซึ่งมีราคาสูงกว่าข้าวทั่วไป 30% รวมถึงเร่งพัฒนาเมล็ดพันธุ์และทำการตลาดร่วมกับหน่วยงานต่างประเทศ เพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรอย่างยั่งยืน
นายพิชัย กล่าวว่า แผนระยะยาวของรัฐบาลคือการลดพื้นที่ปลูกข้าวจากกว่า 75 ล้านไร่ เหลือราว 60 ล้านไร่ ใน 7-10 ปีข้างหน้า เพื่อให้ดีมานด์และซัพพลายสมดุล ลดความจำเป็นในการอุดหนุน และสร้างความเข้มแข็งให้ภาคการเกษตรไทยในอนาคต