ICDS มธ.-สนค.เปิดผลวิจัยพร้อมข้อเสนอเชิงนโยบายปรับโครงสร้างการส่งออก ดันเศรษฐกิจ 2 คลัสเตอร์อุตสาหกรรม
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ศูนย์วิจัยความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนา (ICDS) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ร่วมกับสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ จัดงานสัมมนาเปิดเผยผลการศึกษา “โครงการศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างภาคการส่งออกเพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยในตลาดโลกให้เติบโตอย่างยั่งยืน” เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยมีผู้สนใจเข้าร่วม 200 คน ผ่านระบบออนไลน์และออนไซต์
น.ส.ณิชชาภัทร กาญจนอุดมการณ์ ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวว่า การส่งออกถือเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมาอย่างยาวนาน การยกระดับการส่งออกจึงเป็นพันธกิจที่สำคัญของ สนค. โดยเฉพาะในสถานการณ์ความท้าทายจึงจำเป็นต้องเร่งปรับโครงสร้างใหม่เพื่อการแข่งขัน ยืนยันว่า สนค. จะขับเคลื่อนพันธกิจนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมต่อภาคการส่งออกของไทย
รศ.ดร.อาชนัน เกาะไพบูลย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะหัวหน้าคณะวิจัย กล่าวว่า ปัจจุบันไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งสงครามการค้า การเรียกเก็บภาษีนำเข้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ตลอดจนความขัดแย้งในภูมิภาค ส่งผลให้ในช่วงปี 2562-2567 การส่งออกของไทยขยายตัวช้าลง ส่วนแบ่งในตลาดโลกไม่เพิ่มขึ้น ทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 1.4 โดยการส่งออกที่ดีจะนำไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่น และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนใหม่ได้ จึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออก สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าที่มีศักยภาพ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการส่งออก ตลอดจนการกระจายตลาดไม่ให้กระจุกตัวอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งจะนำไปสู่ความยั่งยืน ทั้งนี้ โครงการศึกษาฯ ได้พิจารณาโครงสร้างการส่งออกของไทยทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรม และได้เจาะลึกใน 2 คลัสเตอร์อุตสาหกรรมที่สำคัญ ซึ่งมีมูลค่าเป็นครึ่งหนึ่งของสัดส่วนการส่งออกไทย ประกอบด้วย 1.คลัสเตอร์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ (Next Generation Electronic Cluster : NGEC) และ 2.คลัสเตอร์ยานยนต์แห่งอนาคต (Next Generation of Mobility Cluster : NGMC) โดยทั้งสองมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยและมีศักยภาพในการเติบโต
รศ.ดร.อาชนัน กล่าวว่า ในส่วนของ NGEC ของไทยมีสัดส่วนการส่งออก 33% ของการส่งออกรวมในปี 2567 และ 17% ของมูลค่าเพิ่มภาคอุตสาหกรรมในปี 2565 เป็นแหล่งสร้างงานกว่า 753,000 คน ขณะเดียวกันมูลค่าตลาดโลกในอุตสาหกรรมนี้ก็สูงกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวมากกว่าร้อยละ 10 ต่อปี ขณะที่ NGMC มีสัดส่วนการส่งออก 13% ของการส่งออกรวมในปี 2567 และ 10% ของมูลค่าเพิ่มภาคอุตสาหกรรม เป็นแหล่งสร้างงานกว่า 690,000 คน และประมาณการผลิตในปี 2568 อยู่ที่ 1.5 ล้านคัน
รศ.ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในนักวิจัยหลักของโครงการ กล่าวว่า การพิจารณาศักยภาพการส่งออกของสินค้าทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรมจำเป็นต้องพิจารณาความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบของสินค้านั้นในตลาดโลกผนวกกับมิติอื่นๆ ที่สำคัญ โดยเฉพาะมิติทางด้านการกระจุกตัวหรือกระจายตัวของสินค้าส่งออก การสร้างซัพพลายเชนในประเทศ การไปต่อยอดมูลค่าให้กับสินค้าอื่นๆ และการพัฒนาศักยภาพการผลิตเพื่อลดการนำเข้า สำหรับอุตสาหกรรม NGEC สินค้าศักยภาพพบในทุกตำแหน่งของห่วงโซ่อุปทานไม่ใช่เพียงกลุ่มปลายน้ำเท่านั้น วันนี้ไทยมีการส่งออกสินค้าในกลุ่มกลางน้ำและต้นน้ำเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน Integrated circuits อื่น ๆ (ICs) Transistorsและชิ้นส่วนของ ICs ซึ่งเป็นส่วนต้นน้ำของห่วงโซ่อุปทานไปตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และถือว่าเป็นสินค้าที่จัดอยู่ในกลุ่มศักยภาพของไทย
รศ.ดร.จุฑาทิพย์ กล่าวว่า เช่นเดียวกันกับกลุ่มกลางน้ำที่เป็นสินค้ากลุ่ม PCB และ IC-based electronics components ไม่ว่าจะเป็น power modules, image sensors, digital recorders หากขาดความเชื่อมโยงไปข้างหน้าและการนำเข้าที่ยังสูงในสินค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะในส่วนของต้นน้ำบั่นทอนการพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรม ในขณะที่สินค้าส่งออกศักยภาพสูงในส่วนปลายน้ำ ได้แก่ เครื่องพิมพ์ โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องพิมพ์ offset เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้าประเภทต่างๆ ตู้เย็น ยังมีศักยภาพถึงแม้มีแนวโน้มลดลงจากการกระจุกตัวของตลาดส่งออกและการนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้นภายหลังสงครามการค้า
รศ.ดร.จุฑาทิพย์ กล่าวว่า ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในส่วนของคลัสเตอร์ NGEC ได้แก่ 1.การต่อยอดศักยภาพของอุตสาหกรรม NGEC เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่อุปทานจะทำให้อุตสาหกรรม 2.ดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศมาที่ไทย โดยคำนึงถึงนักลงทุนเดิมในไทยที่ต้องการขยายฐานการผลิต และนักลงทุนใหม่ 3.ร่วมมือกับอาเซียนเพื่อให้มีบทบาทเป็นตัวเชื่อมสหรัฐฯ และจีน 4.การเจรจาทางการค้า FTA ที่ไทยทำกับประเทศต่างๆ ต้องตอบโจทย์ประเทศอย่างชัดเจน 5.ต้องร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรม และปลดล็อกนโยบายที่ไม่เอื้อต่อการลงทุน และ 6.ต้องไม่ถูกกล่าวหาว่าสวมสิทธิ์โดยทำงานร่วมกับสหรัฐและจีนในเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยเชื่อว่าการดำเนินการตามมาตรการเหล่านี้จะมีส่วนช่วยผลักดันให้การส่งออกในระยะสั้นเพิ่มขึ้นระหว่าง 6,000-7,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ก่อให้เกิดการลงทุนใหม่กว่า 70,000 ล้านบาทต่อปี
รศ.ดร.วรรณพงษ์ ดุรงค์เวโรจน์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง หนึ่งในนักวิจัย กล่าวว่า สำหรับคลัสเตอร์ NGMC อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมีศักยภาพการผลิตรถยนต์ดีเซล ขนาดมากกว่า 2500 ซีซี และเริ่มส่งออกรถยนต์ไฮบริด ซึ่งเป็นส่วนต่อยอดจากฐานการผลิตยานยนต์ของไทย ในขณะที่ศักยภาพในการส่งออก ยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) ณ ขณะนี้ยังมีจำกัด การเดินหน้าสร้างซัพพลายเชนกับผู้ผลิตชิ้นส่วนของไทย เป็นหัวใจที่จะทำให้ BEV กลายมาเป็นสินค้าส่งออกศักยภาพ และพ้นข้อกล่าวหาเรื่องการสวมสิทธิ์ ทั้งนี้ แม้วันนี้อุตสาหกรรมชิ้นส่วนกำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน แต่ประเทศไทยก็ยังมีศักยภาพในชิ้นส่วนยานยนต์หลายรายการ โดยเฉพาะชิ้นงาน Mechanic หรือการขึ้นรูป การหล่อ งานฉีด และงานเจียร ส่วนแนวทางการเพิ่มศักยภาพการผลิต คือการต่อยอดจากความสามารถในชิ้นงาน Mechanic เหล่านี้ ผ่านการรักษาความสามารถในการผลิตและส่งออกของผลิตภัณฑ์เดิม สร้างความเชื่อมโยงไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น อุตสาหกรรมเรือยนต์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องยนต์สำหรับอากาศยาน ขับเคลื่อนการทำตลาดคู่ขนานทั้งป้อนโรงงานรถยนต์ และตลาดชิ้นส่วนอะไหล่ทดแทน (Aftermarket Segment) รวมทั้งการมุ่งไปสู่การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์อัจฉริยะ (Smart Auto parts) ที่เอาชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มาสร้างมูลค่าเพิ่มกับสินค้า
รศ.ดร.วรรณพงษ์ กล่าวต่อว่า คลัสเตอร์ NGMC จะต้องมีการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อช่วยผู้ประกอบการไทยในห่วงโซ่การผลิต และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเพื่อให้ไทยเป็น Last man Standing หมายถึงไทยต้องเดินคู่ขนานทั้งการผลิตเครื่องยนต์สันดาปที่ยังมีตลาดอยู่ และรถ EV โดยยึดเป้าหมายรถยนต์เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นหัวใจในการขับเคลื่อน ไม่ใช่ระบบขับเคลื่อน (เครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือไฟฟ้า) การก้าวข้ามความท้าทายท่ามกลางวิกฤตที่อุตสาหกรรมเผชิญมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา การจัดหาแหล่งเงินทุนระยะปานกลางเป็นหัวใจสำคัญ การขับเคลื่อนมาตรการเหล่านี้มีส่วนช่วยการส่งออกเพิ่มขึ้นได้ในระยะสั้น 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เกิดการลงทุนใหม่กว่า 70,000ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ ภายในงานยังได้จัดให้มีการเสวนาหัวข้อ “ศักยภาพการส่งออกของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของไทย” มีผู้ร่วมเสวนาจากภาคเอกชน ประกอบด้วย ดร.นัยวุฒิ วงษ์โคเมท อุปนายกสมาคมการค้าอุตสาหกรรมไทยเซมิคอนดักเตอร์ นายกิตติศักดิ์ เงินงอกงาม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ นายเสวก ประกิจฤทธานนท์ อุปนายกและเลขาธิการสมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ไทย (PCB) ร่วมเสวนา
นายนัยวุฒิ กล่าวว่า NGEC เป็นอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนและหลากหลายจำเป็นต้องมีแผนระดับชาติ จึงเสนอให้เร่งจัดทำแผนเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ ซึ่งเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ถือเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ชิป (Chip) เร่งสร้างบุคลากร การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนหลายภาคส่วน เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนและหลากหลาย เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในภาพรวม นอกจากแผนระดับชาติแล้วรัฐจำเป็นต้องสนับสนุนงบประมาณ 10,000 ล้านบาทต่อปีต่อเนื่อง 20 ปีในการพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิก และวางกลไกสร้างความได้เปรียบให้กับผู้ประกอบการไทยในช่วงเริ่มต้น เพื่อให้เติบโตและแข่งขันได้ โดยมาตรการจัดซื้อจ้างภาครัฐจะช่วยผู้ประกอบการไทยได้มาก ยกตัวอย่างชิปที่ติดในบัตรประชาชน เป็นต้น
ด้าน นายเสวก กล่าวว่า แผ่นวงจรพิมพ์ หรือ PCB (printed circuit board) นับเป็นกุญแจสำคัญของเทคโนโลยี ปัจจุบันจีนซึ่งผลิตอยู่ 60% ป้อนตลาดโลกกำลังย้ายฐานมาไทย ประมาณ 50 บริษัท มูลค่าการลงทุนกว่า 2 แสนล้านบาท เพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลดีต่อไทยในการเป็นฐานสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ของบ้านเราให้เติบโต แต่ทั้งนี้ก็ต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐด้วยทั้งในเรื่องมาตรการต่างๆ และการพัฒนาบุคลากรรองรับ
ขณะที่ นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า กลุ่มเดลต้าลงทุนปักหลักลงทุนในประเทศไทยเพื่อเป็นฐานในการส่งออก โดยได้จัดสรรเงินรายได้สัดส่วน 8.3% เพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ แม้ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอาจกระทบการดำเนินธุรกิจในระยะสั้นบ้าง แต่ไม่น่าจะส่งผลต่อทิศทางการค้าและการลงทุนในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ การเตรียมรับมือกับความท้าทายที่แท้จริงในระยะยาว โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียน เป็นสิ่งที่ภาครัฐควรให้ความสำคัญ
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ICDS มธ.-สนค.เปิดผลวิจัยพร้อมข้อเสนอเชิงนโยบายปรับโครงสร้างการส่งออก ดันเศรษฐกิจ 2 คลัสเตอร์อุตสาหกรรม
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th