“วราวุธ-อนุชา” ร่วมมอบกายอุปกรณ์ ช่วยคนพิการนครปฐม ยกระดับคุณภาพชีวิต เข้าถึงสิทธิสวัสดิการ มีงานทำด้วยความสามารถ
“วราวุธ-อนุชา” ร่วมมอบกายอุปกรณ์ ช่วยคนพิการนครปฐม ยกระดับคุณภาพชีวิต เข้าถึงสิทธิสวัสดิการ มีงานทำด้วยความสามารถ
เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ที่ จังหวัดนครปฐม นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานในพิธีมอบกายอุปกรณ์สำหรับช่วยเหลือคนพิการจังหวัดนครปฐม เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยมี นายอนุชา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมช.สธ.) พร้อมด้วย นายพาณุวัฒน์ สะสมทรัพย์ สส.นครปฐม พรรคชาติไทยพัฒนา และประธานคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ นายศุภโชค ศรีสุขจร สส.นครปฐม พรรคชาติไทยพัฒนา คณะผู้บริหารกระทรวง พม. และ สธ. หน่วยงานท้องถิ่น และผู้นำองค์กรด้านคนพิการ เข้าร่วมที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม
โดยนายวราวุธ กล่าวว่า โครงการจัดหากายอุปกรณ์สำหรับช่วยเหลือคนพิการจังหวัดนครปฐม เป็นโครงการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อประชาชนชาวไทย ซึ่งเป็น 1 ใน 10 โครงการของรัฐบาล เพื่อช่วยเหลือคนพิการที่มีรายได้น้อย ประสบความเดือดร้อน เข้าไม่ถึงสิทธิสวัสดิการ ให้ได้รับกายอุปกรณ์และเครื่องช่วยความพิการ ตามความต้องการและเหมาะสมต่อสภาพความพิการของแต่ละบุคคล โดยจะทยอยส่งมอบกายอุปกรณ์ให้ครบถ้วน 72,000 ชุด ภายในเดือนกันยายน 2568 ส่งผลให้คนพิการซึ่งเป็นพสกนิกรของพระองค์ท่าน สามารถใช้ชีวิตประจำวัน เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมได้อย่างเท่าเทียมกับบุคคลทั่วไป นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิต และยกระดับคนพิการที่มีศักยภาพให้ได้รับการจ้างงาน สามารถสร้างอาชีพ เข้าสู่การทำงาน และมีรายได้มั่นคง
สำหรับกรณีการจ้างงานคนพิการนั้น กระทรวง พม. ต้องขอความร่วมมือทุกหน่วยงานดำเนินการจ้างงานคนพิการ ให้เป็นไปตามกฎหมายกำหนด โดยตั้งต้นที่การพิจารณาศักยภาพของคนพิการ เพื่อนำไปสู่การกำหนดตำแหน่งงานที่เหมาะสมกับคนพิการ โดยจ้างงานคนพิการเพราะความสามารถ (Ability) ไม่ใช่จ้างงานเพราะความพิการ (Disability) ซึ่งจะทำให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืน สำหรับกายอุปกรณ์และเครื่องช่วยความพิการนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถทดแทนสิ่งที่คนพิการขาดหาย และทำให้คนพิการที่มีฐานะยากจนสามารถเข้าถึงบริการของรัฐได้อย่างทั่วถึง จึงนับว่าเป็นโครงการที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง ส่งผลให้คนพิการสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวัน เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมได้อย่างเท่าเทียม และสามารถดำรงชีวิตด้วยตนเองได้อย่างอิสระ สู่การสร้างสังคมที่ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”