“พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร” ประเมินสภาพ “แดง-ส้ม” เจ็บหนัก กลางศึกไทย-กัมพูชา
หมายเหตุ: “พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร” อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้สัมภาษณ์รายการ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ปะทะกันระหว่างกองกำลังไทยกับทหารกัมพูชา ที่ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ผ่านมา แม้ล่าสุดลดความรุนแรง และจะคลี่คลายลงไประดับหนึ่ง แต่ยังอยู่ในระหว่างการเฝ้าระวัง ทั้งนี้สิ่งที่เกิดขึ้น จะส่งผลกระทบต่อมิติทางการเมืองในแง่โครงสร้างหรือไม่ และอย่างไร รายการออกอากาศทางช่องยูทูบ Siamrathonline เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2568 มีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
- สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชายังคงต้องเฝ้าระวังกันอยู่ แม้จะคลี่คลายลงไประดับหนึ่ง จากนี้ประเทศไทยเราจะเป็นอย่างไรต่อไป เมื่อมีมุมมองจากนักวิเคราะห์ ชี้ว่ากระแสของฝั่งอนุรักษ์นิยม จะสูงกว่าฝั่งเสรีนิยมประชาธิปไตย
จากสถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่ จากการสู้รบครั้งนี้ ถือเป็นเหตุปัจจัยใหญ่ที่ทำให้รัฐบาลหมดเครดิต หมดความน่าเชื่อถือ จากพี่น้องประชาชน จนแทบจะไม่หลงเหลืออยู่เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือตัวนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ที่ถูกมองว่าเป็นเหตุปัจจัยที่นำไปสู่การปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา ดังนั้นต้นเหตุปัจจัยอยู่ที่นายกฯ
ปัจจุบันยังลุกลามไปไม่ใช่เฉพาะตัวนายกฯ แพทองธาร กลายเป็นภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยต้องสูญเสียไปด้วย ฉะนั้นเหตุปัจจัยนี้ จึงลามมากระทบ ทำให้เครดิตของรัฐบาล ถดถอยในสายตาของสังคม จริงๆแล้วฝ่ายรัฐบาลที่กำลังเป็นอยู่เวลานี้ คือฝั่งอนุรักษ์นิยม ส่วนพรรคเพื่อไทย คือฝ่ายที่ก้าวข้ามจากฝั่งประชาธิปไตย มาอยู่กับฝั่งอนุรักษ์นิยม กลายเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมใหม่
แต่ปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยทำลายตัวเองไป จึงยังเหลือกลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ที่เป็นอนุรักษ์นิยม ยังพอกุมสภาพได้ แต่พอเกิดเหตุการณ์สู้รบที่ชายแดนไทย-กัมพูชาขึ้น พบว่าฝ่ายประชาธิปไตย ยังคงเคลื่อนไหว ด้วยการส่งสัญญาณที่ไม่ชัดเจนอีก ดังนั้นกระแสตรงนี้ จึงเกิดกระแสความรักชาติ ทำให้กระแสของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ยกระดับขึ้นมา
ความจริงแล้วการยกระดับของสถานการณ์ที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ดูดี เพราะเป็นเรื่องของการรักษาอธิปไตยของชาติ แต่การยกระดับขึ้นมา ก็ยังไม่ถือว่าสุดโต่ง เนื่องจากพี่น้องประชาชน มีความรู้ความเข้าใจทางการเมืองมากขึ้น ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมีการรุกล้ำพื้นที่เขตแดนไทย ก็มีมาตั้งแต่สมัยฝั่งอนุรักษ์นิยม ครองอำนาจ และเมื่อมาเกิดสถานการณ์ในวันนี้ จึงกลายเป็นการยกระดับขึ้น เพราะรัฐบาลมีความอ่อนแอ เพราะฉะนั้นถามว่า ฝั่งอนุรักษ์จะมีคะแนนนิยมยกระดับขึ้นมามากหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าเพียงแค่ระดับหนึ่ง เพราะเป็นสถานการณ์เผชิญหน้า ส่วนการยกระดับของคะแนนนิยม ยังไม่ถือว่าเป็นการยกระดับแบบสุดโต่ง
- มีบางฝ่ายมองว่ารัฐบาลหรือพรรคเพื่อไทยเอง ไม่ได้มีภาพของความเป็นฝ่ายเสรีนิยมที่ชัดเจน
ผมเห็นด้วยเลย เพราะพรรคเพื่อไทย เดิมมีภาพที่ดูเหมือนเป็นฝ่ายประชาธิปไตย แต่จากนั้นโยกข้ามมาอยู่ฝั่งอนุรักษ์นิยม แต่พอกลับมาอยู่ฝั่งอนุรักษ์นิยมก็มาบอกว่าเป็นฝั่งอนุรักษ์ใหม่ ดังนั้นจึงเหมือนเป็นครึ่งๆกลางๆ
ขณะเดียวกันก็ต้องดูบทบาทด้วยว่าเป็นฝั่งอนุรักษ์เต็มที่แล้วหรือยัง แต่ปรากฎว่าเมื่อมาแสดงผลงานในการบริหารราชการแผ่นดิน แล้วมาเจอสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ปรากฏว่าพรรคเพื่อไทย และตัวนายกฯเองก็มีปัญหาในเรื่องวุฒิภาวะการนำ ในการแก้ปัญหา จึงกลายเป็นว่าแสดงไม่ถูก จะเป็นอนุรักษ์ก็ไม่ได้ จะเป็นฝ่ายประชาธิปไตยก็ไม่เชิง
จุดนี้จึงทำให้พรรคเพื่อไทย เสียการนำในการเป็นอนุรักษ์นิยมไป ทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
- ที่ดูว่าจะมีปฏิกิริยา หรือมีความเคลื่อนไหวมากที่สุดคือในส่วนของพรรคประชาชน ด้วยหรือไม่ ในช่วงที่ผ่านมา ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ บทบาทของกองทัพค่อนข้างรุนแรง
จุดนี้ถือเป็นปัญหาสำหรับพรรคประชาชน ปรากฏว่าเคลื่อนไหวไม่ถูกจังหวะ และยังไม่เข้าใจกระแสของพี่น้องประชาชนในปัจจุบันนี้ ที่เขาเชียร์ฝ่ายทหารในการป้องกันประเทศ ว่าตอนนี้เขาไม่เชื่อมั่นในเครดิตของรัฐบาลเลย มองเห็นว่าต้นตอและเหตุปัจจัยปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากผู้นำทางจิตวิญญาณของสองประเทศ แต่ไม่มันไม่ใช่ปัญหาของพี่น้องประชาชนชายแดนกับทหาร
ประชาชนมองว่าต้นเหตุของปัญหา คือรัฐบาล จนทำให้เกิดความเดือดร้อน ดังนั้นประชาชนจึงไม่วางใจรัฐบาล แต่ไปวางใจกับทหารอย่างเต็มที่ และทหารยังแสดงบทบาทได้ดี ดังนั้นเมื่อพรรคประชาชนมาแสดงบทบาทในท่วงทำนองที่มาติทหาร เมื่อออกมาไม่ถูกจังหวะ จึงสะท้อนปัญหาเชิงวุฒิภาวะของพรรคประชาชนอีกต่างหาก
จากนั้นยังลุกลามต่อไปยังเรื่องของการนำอีกว่าหากในอนาคตพรรคประชาชน จะเข้าใจสถานการณ์หรือไม่ว่า ควรจะยืนเคียงข้างประชาชน ในจังหวะไหน อย่างไร
-ดูเหมือนพรรคการเมืองที่จะเป็นอนุรักษ์นิยมใหม่ และพรรคที่เป็นเสรีนิยมประชาธิปไตย เกิดการเพลี่ยงพล้ำในเวลาเดียวกัน ทำให้ที่ผ่านมามีการตั้งข้อสังเกต มีเสียงเรียกร้องให้ประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศนั้น เหมือนจะเป็นการเชื้อเชิญให้ทหารกลับมาเข้ามาอีกหรือไม่
เรื่องนี้มีกระแสเช่นกัน แต่โดยส่วนตัวยังยืนยันว่าสถานการณ์ในปัจจุบัน พี่น้องประชาชน ทั้งประเทศมีความเข้าใจว่าเหตุการณ์ที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่นั้นยังไม่ใช่สงครามระหว่างประเทศ อยู่ในระดับของการปะทะ การสู้รบในบริเวณตะเข็บชายแดน ฉะนั้นประชาชนจึงมีความเข้าใจว่าเมื่อไม่ใช่สงคราม การประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศ จึงยังไม่มีความจำเป็น
แต่มีความจำเป็นที่จะประกาศเฉพาะบริเวณชายแดน ซึ่งปัจจุบันที่ดำเนินการอยู่ถือว่ามีความเหมาะสมแล้ว ฉะนั้นการที่จะยกระดับไปสู่การประกาศกฎอัยการศึกทั่วประเทศคงจะยังไม่ยกระดับไปถึงจุดนั้น
- กรณีที่เชื้อเชิญทหารเข้ามา ย่อมไม่ได้หมายความถึงการพูดถึงรัฐประหาร หรือการปฏิวัติ แต่ในกรณีของบุคคล เช่นชื่อของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ถูกพูดถึงอย่างมาก ด้วยเหตุที่ชื่อของท่านยังเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรครวมไทยสร้างชาติ และอาจจะมีโอกาส หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองกับนายกฯแพทองธาร
เชื่อว่าหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง จะมีบริบท สถานการณ์การเมือง ในสภาวะแวดล้อมปัจจุบัน ที่เปลี่ยนแปลงไป เชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์ ท่านจะไม่เข้ามา เพราะตอนนี้ท่านอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยแล้ว ขณะเดียวกันในสถานการณ์เช่นนี้ ท่านมิได้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ เหมือนในอดีต
ซึ่งในอดีตมีอำนาจเบ็ดเสร็จ ยังจัดระเบียบการเมือง เมื่อเข้าสู่การเลือกตั้งไม่ได้เลย ฉะนั้นสถานการณ์ตรงนี้ เชื่อว่าเมื่อท่านเองอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ท่านคงไม่กลับเข้ามา ประกอบกับพรรคประชาชนได้ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองไม่ไปสู่ทางตัน เพราะประกาศชัดเจนแล้วว่า พร้อมจะโหวตนายกฯ จากพรรคการเมืองมีชื่ออยู่ในบัญชี พรรคไหนก็ได้ เพียงแต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องมาปฏิบัติภารกิจเฉพาะหน้าเท่านั้น และต้องอยู่ไม่นาน จากนั้นไปสู่การยุบสภา
ดังนั้นสถานการณ์ทางการเมืองเวลานี้ไม่เป็นทางตัน ดังนั้นแคนดิเดตนายกฯที่ยังอยู่ในบัญชีรายชื่อ ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคการเมืองอื่น ๆ ก็ไม่ได้เป็นปัญหาใดๆที่จะเป็นตัวเลือก ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับสภาฯและสถานการณ์ในขณะนี้
-สถานการณ์ในส่วนของคุณทักษิณ เองและนายกฯแพทองธาร กับศัตรูทางการเมืองภายในประเทศตอนนี้ หลังจากที่มีเสียงดังขึ้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา อยากให้ประเมินทิศทางจากนี้ในอนาคต
จากเหตุปัจจัย สภาวะแวดล้อมสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคุณทักษิณ หรือนายกฯแพทองธาร ต่างอยู่ในสภาพมีข้อจำกัดทั้งคู่ เพราะมีคดีความที่ล่อแหลม และยังเป็นคดีความที่เชื่อมั่นว่า ผลจากการวินิจฉัยทั้งสอง จะเป็นในทางลบมากกว่าบวก ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ ที่จะต้องเลือกนายกฯคนใหม่
และยิ่งถ้ามาเปรียบเทียบในคดีของคุณทักษิณ กับสถานการณ์ปัจจุบันมันล่อแหลมมาก เพราะศัตรูในอดีตของท่านไม่ได้หายไป และปัจจุบันก็ยังมีศัตรูเพิ่มขึ้น อีกทั้งมิตรในอดีต ก็กลับมาเป็นศัตรูอีก อย่างศัตรูในอดีตคือกลุ่มกปปส. และกลุ่มที่เคลื่อนไหวต่างๆ ก็ยังดำรงคงอยู่
ส่วนมิตรในปัจจุบันก็กลายไปเป็นศัตรู ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนเสื้อแดง กลุ่มนักธุรกิจ ตรงนี้คือความยากลำบาก ศัตรูเดิมก็ยังอยู่ ศัตรูใหม่ก็ปรากฏ อย่างพรรคภูมิใจไทยที่เคยร่วมเป็นพันธมิตรกันอยู่ ก็กลับไปเป็นฝั่งตรงข้ามแล้ว แม้กระทั่งมิตรในต่างประเทศอย่างสมเด็จฮุน เซน ก็ยังกลายเป็นศัตรู ดังนั้นเหตุปัจจัยของคุณทักษิณจึงตกอยู่ในสภาพลำบาก สิ่งต่างๆมันรุมเร้า อีกทั้งยังมีเรื่องคดีความอีก
- การเมืองไทยยังไม่ถึงทางตัน พรรคประชาชนยังเปิดก๊อก ที่จะสนับสนุนแคนดิเดตนายกฯในระบบอยู่ แต่ในสภาพการณ์ของคุณทักษิณ และนายกฯแพทองธาร กลับอยู่ในสภาพที่ลำบาก ดังนั้นภาพของรัฐบาลใหม่ ที่อาจจะเป็นรัฐบาลชั่วคราว หรือเฉพาะกิจ จะออกในทิศทางไหน
ยังเชื่อว่าจากเหตุปัจจัยเรื่องคดีความ เฉพาะนายกฯแพทองธาร ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องวินิจฉัยคดีคลิปเสียง ว่าจะขัดต่อจริยธรรมหรือไม่ ซึ่งมีแนวโน้มสูงที่จะถูกวินิจฉัยว่าผิดจริยธรรมร้ายแรง และต้องพ้นจากตำแหน่ง จากนั้นจะไปสู่การเลือกนายกฯคนใหม่ ซึ่งก็ต้องไปดูกันต่อว่า ในบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยมีคุณชัยเกษม พรรคภูมิใจไทย มีคุณอนุทิน ชาญวีรกูล พรรครวมไทยสร้างชาติ มีคุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
แต่จากเหตุปัจจัยจากเหตุปะทะกันที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พรรคเพื่อไทยถูกตัดออกจากบัญชีไปเรียบร้อยแล้ว เพราะประชาชนก็ต้องมองว่า หากให้คนของพรรคนี้เข้ามาเป็นนายกฯอีก โอกาสที่จะแก้ไขปัญหากับกัมพูชา อาจไม่มีเลย เพราะคนก็ต้องเชื่อว่าผู้นำจิตวิญญาณ ก็คงไปครอบงำตัวแทนคนที่จะมาเป็นนายกฯคือคุณชัยเกษม อีก
ดังนั้นพรรคเพื่อไทย จึงหมดความชอบธรรม เพราะที่ผ่านมามีโอกาสเป็นนายกฯ2 คนแล้วแต่ผลงาน ไม่เป็นที่ประจักษ์ มันก็ต้องไหลมาที่คุณอนุทิน เพราะมีลักษณะของการประนีประนอม สามารถเข้ากับทุกฝ่ายได้ และสิ่งที่สำคัญที่สุด การที่จะมาเป็นนายกฯในจังหวะที่ต้องปฏิบัติหน้าที่เฉพาะกิจ ดังนั้นจึงมีโอกาสที่คุณอนุทินจะเป็นได้
ซึ่งอาจจะทำให้การแก้ปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านคลี่คลายไปได้ ส่วนการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจหากจะมีการออกกฎหมายเฉพาะเจาะจงอย่างไรก็ว่ากันไป ฉะนั้นสิ่งต่างๆเหล่านี้ จะเป็นนโยบายรัฐบาลที่ต้องประกาศ ว่าเมื่อเป็นแล้วก็ต้องปฏิบัติ ตามนโยบาย เฉพาะจากนั้นจึงนำไปสู่การยุบสภา ดังนั้นจึงมีโอกาสสูง ว่าเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลแล้ว นายกฯคนใหม่ ซึ่งน่าจะเป็นคุณอนุทิน ที่จะปฏิบัติภารกิจเฉพาะและไม่ยาวนาน ประมาณ 6-7 เดือน จากนั้นไปสู่การยุบสภา
- ฟันธงได้ว่าอาจจะได้เห็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย
ถูกต้อง เนื่องจากเมื่อปฏิบัติหน้าที่เฉพาะ เมื่อพรรคประชาชนยกมือโหวตนายกฯให้ และเชื่อว่าไม่มีความยุ่งยาก เพราะพรรคที่ร่วมรัฐบาลอยู่ปัจจุบันนี้เป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยม ซึ่งจริงๆแล้วพรรคภูมิใจไทยก็เป็นแกนนำของกลุ่มอนุรักษ์ฯอยู่แล้ว แต่พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายมาข้ามฟากหาเขาเอง ดังนั้นเมื่อเขาจะกลับมาอยู่ด้วยกันจึงไม่ใช่ปัญหา โดยเฉพาะตำแหน่งรัฐมนตรี จะยิ่งมีมากขึ้นด้วย เนื่องจาก พรรคประชาชนมีเงื่อนไขอยู่แล้วว่า จะไม่เข้ามาร่วมรัฐบาล
ดังนั้นเมื่อตำแหน่งรัฐมนตรีมีมากพอ เชื่อว่าคุณอนุทิน จะสามารถบริหารจัดการ จัดสรรกันได้จนหาความลงตัวกันได้ และหากมีการไม่ไว้วางใจก็คงไม่เป็นปัญหา เนื่องจากเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ และพรรคประชาชนยังหนุนอยู่ บวกกับพรรคฝ่ายรัฐบาล ดังนั้นคะแนนเสียงจึงผ่านพ้นไปได้ จุดนี้จะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ของบ้านเมืองไปได้