เป้าหมายร่วมรีเซตการเมือง
มันดูเหมือนแบะท่ายอมทุกอย่าง ให้อะไรก็ได้ให้ช่วยยื่นอำนาจให้กู จะจัดการ 2 คดีนั้นอย่างเต็มที่ ซึ่งมีคำถามว่า “แบบนี้เรียกว่าเลือกปฏิบัติหรือเปล่า ?” ถ้าเป็นคดีทุจริตคดโกงอื่นๆ เพื่อไทยจะลอยชายไม่สนใจเพราะไม่ได้เป็นตัวแปรทางการเมืองอย่างนั้นหรือ ? ดันไปชวนให้พรรคส้มเขาเอาด้วยกับสองมาตรฐานอีก ไม่รู้เอาอะไรคิด
ถ้าอย่างนั้น คดีทุจริตก่อสร้างตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ( สตง.) นี่ไม่จำเป็นต้องเร่งรัด ? คดีความไม่ชอบมาพากลต่างๆ ในสำนักงานประกันสังคม ไม่ต้องแคร์ ? การที่ต้องเอาผิดผู้ที่ทำให้ถนนพระรามสองล่าช้า และเกิดอุบัติเหตุจนเป็นถนนสายมรณะ ก็เฉยๆ ? เข้าใจว่าอยากกลับมาเป็นรัฐบาล แต่เขียนแถลงการณ์อะไรให้สง่างามหน่อยก็ได้ และที่ว่าจะเล่นงาน 2 คดีนั้น ก็ชัดๆ อยู่ว่า 1.หวังทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมือง 2. ฝ่ายประจำเขาก็ทำคดีไปตั้งมากแล้ว จะเคลมอะไร
ที่ต้องเปิดเปลือยตัวเองยอมเขาทุกอย่าง เพราะเพื่อไทยนั่นแหละที่ไม่รู้ไปมั่นมาจากไหน ว่า “หัวหน้าอิ๊งค์” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่โดนศาลรัฐธรรมนูญเชือดในคดีคลิปเสียงแน่ๆ ทั้งที่น่าจะเดาทางได้บ้าง เพราะตัวเองก็พูดอยู่ตลอดว่า “คดีจริยธรรมมันเป็นคดีอันตราย เพราะสามารถตีความการกระทำได้ครอบจักรวาล” ขนาด “อดีตนายกฯนิด” เศรษฐา ทวีสิน ก็ยังโดนเรื่องจริยธรรม แค่เซ็นตั้งคนที่พ้นคดีความมาแล้วด้วยซ้ำ..เป็นรัฐมนตรี
วันนี้เพื่อไทยตกที่นั่งลำบาก ต้องมาขอเสียงพรรคประชาชน ( ปชน.) หนุนนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกฯ ทั้งที่ไม่ใช่ตัวขายของพรรค แย่งเก้าอี้กับ “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
ในเกมต่อรองอำนาจ คิดว่า คนที่พูดจริง พูดตรง ที่สุดคือ “เจ๊เจี๊ยบ”อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีตกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ที่บอกว่า “สว.เป็นของสีน้ำเงิน ไม่ใช่สีแดง มีโอกาสผ่านเรื่องประชามติแก้รัฐธรรมนูญมากกว่า” ซึ่งอำนาจของ สว. รวมไปถึงการเลือกกรรมการองค์กรอิสระ วันนี้ยังต้องลุ้นว่า สส.44 คนของพรรคก้าวไกลจะรอดคดีแก้ ม.112 ในชั้น ป.ป.ช.หรือไม่ ก็คงเห็นภาพกันกลายๆ ว่า “องค์กรอิสระทรงอำนาจแค่ไหน”เมื่อสอยนายกฯเพื่อไทยได้ 2 คน
เอาจริง สิ่งที่เป็นผลประโยชน์ร่วม คือ“การยกร่างแบบล้างไพ่ทางการเมือง” คือ รัฐธรรมนูญใหม่ต้องเป็นเครื่องมือคืนสิทธิ์ให้ผู้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองลงมาเล่นในสนามอีกครั้งได้ เนื่องจากที่ผ่านมา การตัดสิทธิ์โดยใช้ “ประมวลจริยธรรม”มามุ่งสังหารทางการเมือง มันไม่เป็นธรรม สส.ใช้ประมวลฯ เดียวกับศาล ทั้งที่ควรมีประมวลฯ ของตัวเองต่างหากที่ออกโดยรัฐสภา และต้องเป็นประมวลฯ ที่ไม่ถึงขั้นประหารชีวิตทางการเมือง ยุบพรรคง่ายๆ จนถูกเรียกเป็นนิติสงคราม
คิดว่า หลายคนคงเห็นปัญหาตรงนี้ การตัดสิทธิ์ตลอดชีพมันรุนแรงเกินไป แม้แต่กับประชาชนทั่วไปก็เถอะ ถ้าย้อนกลับไปมองคดีของ “ช่อ”พรรณิการ์ วานิช กรรมการคณะก้าวหน้า ก็เรียกได้เลยว่า “ทั้งชีวิตต้องไม่ทำอะไร เพราะใครจะหาเรื่องก็ได้” ก็ใครจะคิดว่า รูปๆ เดียว ถูกตีความเป็นไร้จริยธรรมไปได้ ทั้งที่เป็นรูปถ่ายนานมาแล้วตั้งแต่เรียนจบ ..การแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงต้องพิจารณาหมวดจริยธรรม อย่าให้ตกเป็นเครื่องมือใช้ประหัตถ์ประหารใครได้
นอกจากหมวดจริยธรรมเป็นสิ่งที่ต้องชำระแล้ว การล้างไพ่ที่สำคัญอีกอย่างคือ “การให้รัฐธรรมนูญใหม่มีผลเลิก สว.ชุดปัจจุบันให้เลือกตั้ง สว.เพื่อความยึดโยงกับประชาชน” และล้างไพ่องค์กรอิสระ คิดวิธีเลือกแบบใหม่โดยเร็ว ยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น ที่สำคัญคือการสร้างระบบตรวจสอบถ่วงดุลที่ง่ายขึ้น ไม่ให้ใช้อำนาจจนกลายเป็นซูเปอร์องค์กร สื่อสารให้ประชาชนเข้าใจว่า “ถ้าฝ่ายการเมืองต้องระวังตัวจนไม่กล้าทำอะไร การบริหารจะล่าช้ามาก”
การตรวจสอบถ่วงดุลเป็นเรื่องดี แต่ต้องมีโทษในระดับเหมาะสมแบบไม่เอาสะใจเข้าว่า เรื่องรีเซตรัฐธรรมนูญ รีเซตการเมืองใหม่ ให้ “โปร่งใสอย่างมีกติกาที่เป็นธรรม” นี่น่าลุ้นให้ทำได้ เผื่อพาสังคมไทยก้าวผ่านความขัดแย้ง.