‘เวียนหัว-บ้านหมุน’ สัญญาณเตือน ‘น้ำในหูไม่เท่ากัน’
อาการวิงเวียนศีรษะ มึนงง เป็นสิ่งที่หลายๆคนย่อมเคยพบเจอกันได้จากสาเหตุต่างๆ แต่อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน ทั้งที่ตัวเองไม่ได้เคลื่อนไหว ถือเป็นสัญญาณเตือนเบื้องต้นของความผิดปกติภายในร่างกาย อย่างเช่นโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
สาระน่ารู้จาก พญ.ณัฐชา อริยสังกัปป แพทย์ผู้ชำนาญการด้าน โสต ศอ นาสิก ศูนย์โสต-ศอ-นาสิก เฉพาะทาง โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล บอกเล่าถึงโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s disease) ว่า เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของความดันน้ำในหูชั้นใน จนส่งผลต่อการได้ยิน ทำให้รู้สึกหูอื้อ การได้ยินน้อยลง หรือวิงเวียนศีรษะ ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในหูข้างเดียว และพบได้ในทุกเพศตั้งแต่วัย 30 ปีขึ้นไป
อาการแบบไหน เข้าข่ายน้ำในหูไม่เท่ากัน?
น้ำในหูไม่เท่ากันมักเป็นอาการที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน สังเกตได้จากอาการดังนี้
1.เวียนศีรษะรุนแรง รู้สึกเหมือนบ้านหมุน
2.หูอื้อ รู้สึกเหมือนมีแรงดันในหู
3.การได้ยินเสียงลดลง
4.อาจคลื่นไส้ อาเจียน ร่างกายเสียการทรงตัว
5.อาจมีเสียงวิ้งหรือเสียงรบกวนในหู
สาเหตุของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
ปัจจุบัน โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ยังไม่เป็นที่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่จากการศึกษาและสมมติฐาน พบข้อบ่งชี้ว่าอาจมีสาเหตุ ดังนี้
-โครงสร้างหูชั้นในผิดปกติแต่กำเนิด
-โรคทางพันธุกรรม
-โรคภูมิแพ้
-โรคจากต่อมไร้ท่อ เช่น ไทรอยด์ เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง
-การติดเชื้อไวรัส หูชั้นกลางอักเสบ
-ความผิดปกติของเกลือแร่ในร่างกาย
-อุบัติเหตุที่ศีรษะ
การรักษาโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน เป็นโรคที่รักษาไม่หายขาดได้ มักรักษาตามอาการที่ตรวจพบ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดย
1.การใช้ยา เช่น ยาขับปัสสาวะ เพื่อลดปริมาณน้ำที่คั่งในหูชั้นใน ยาบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ แก้คลื่นไส้
2.ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยยา แพทย์อาจใช้วิธีรักษาด้วยการฉีดยาผ่านเยื่อในหูชั้นกลาง หรือในกรณีที่อาการรุนแรงมาก อาจพิจารณาให้มีการผ่าตัด แต่เป็นส่วนน้อย
การป้องกันและควบคุมโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
เราสามารถควบคุมปัจจัยเสี่ยงของโรคได้ด้วยการดูแลตัวเอง ดังนี้
1.ลดเค็ม อาหารโซเดียมสูง
2.ลดคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ
3.ทำจิตใจให้แจ่มใส ควบคุมความเครียด
4.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
5.รีบมาพบแพทย์เมื่อเกิดอาการผิดปกติของร่างกาย
โรคน้ำในหูไม่เท่ากัน ถือเป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด แต่สามารถป้องกันและบรรเทาได้หากสังเกตอาการตั้งแต่เนิ่นๆ และมาพบแพทย์เฉพาะทาง จะช่วยให้การวินิจฉัยแม่นยำและการรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น หากมีอาการเหล่านี้ซ้ำๆ อย่าปล่อยให้เป็นแค่ “ความเวียนหัวที่ชินชา” เพราะบางครั้งอาจเป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายที่เราต้องฟังอย่างจริงจัง.