โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

‘นมแม่ อาหารวิเศษ’เด็กแรกเกิด’ในยุคประชากรเกิดใหม่น้อยสุดในรอบ70ปี

ไทยโพสต์

อัพเดต 12 สิงหาคม 2568 เวลา 16.00 น. • เผยแพร่ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมา
พญ.ปานรวี นิลพร

เมื่ออัตราการเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง การลงทุนในคุณภาพชีวิตของเด็กที่เกิดมาจึงยิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นของชีวิตที่ “นมแม่” คือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาทุนมนุษย์อย่างแท้จริง เพราะนอกจากจะเสริมสร้างพัฒนาการทั้งร่างกาย จิตใจ และสมองแล้ว ยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง และส่งผลระยะยาวต่อความฉลาดและการเรียนรู้ของเด็กในอนาคต

ด้วยเหตุนี้ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท และโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล จัดกิจกรรม “World Breastfeeding Week 2025” ภายใต้แนวคิด “Prioritise Breastfeeding: Create Sustainable Support Systems” เพื่อส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างยั่งยืน

นพ.นิธิวัฒน์ กิจศรีอุไร

นพ.นิธิวัฒน์ กิจศรีอุไร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท กล่าวว่า นมแม่เปี่ยมด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่จำเป็นต่อพัฒนาการของเด็กตั้งแต่แรกเกิด ไม่เพียงช่วยเสริมสร้าง IQ หรือความฉลาดทางสติปัญญา และ EQ หรือความฉลาดทางอารมณ์เท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา SQ (ความฉลาดทางสังคม), MQ (ความฉลาดทางจริยธรรมและศีลธรรม) และ CQ (ความฉลาดในการริเริ่มสร้างสรรค์) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างมนุษย์ที่มีคุณภาพทั้งทางร่างกาย จิตใจ และการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีคุณธรรม การได้รับนมแม่อย่างเพียงพอในช่วง 6 เดือนแรกจึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของสารอาหาร แต่คือการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับพัฒนาการรอบด้านของเด็ก ทั้งในด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และทักษะชีวิตในอนาคต

พญ.สมสิริ สกลสัตยาทร ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นวาระแห่งชาติ กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตโครงสร้างประชากรอย่างรุนแรง จากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2566 ผู้สูงอายุมีสัดส่วนร้อยละ 20.3 ของประชากรทั้งหมด และคาดว่าในปี พ.ศ. 2576 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super-Aged Society) โดยมีสัดส่วนผู้สูงอายุสูงถึงประมาณร้อยละ 28 ขณะเดียวกัน อัตราการเกิดกลับลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563

โดยในปี พ.ศ. 2567 ผู้หญิงไทยมีบุตรเฉลี่ยเพียง 1.0 คน ซึ่งถือเป็นระดับต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ จำนวนเด็กเกิดใหม่ในปีเดียวกันมีเพียง 461,000 คน นับเป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปีที่ตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าระดับ 500,000 คน ในขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตมีมากถึง 571,000 คน ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ส่งผลให้ประเทศไทยประสบปัญหาขาดดุลประชากรราว 100,000 คนต่อปี

พญ.สมสิริ สกลสัตยาทร

“โครงสร้างอายุของมารดาที่ให้กำเนิดบุตรเปลี่ยนแปลงไป โดยมีอัตราการคลอดในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 15–19 ปีสูงกว่ากลุ่มหญิงวัยทำงาน ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดความรู้ ความเข้าใจ และการเข้าถึงวิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะสม ทำให้มารดาในกลุ่มอายุนี้ยังไม่พร้อมสำหรับการเลี้ยงดูบุตร เด็กที่เกิดในกลุ่มดังกล่าวจึงมักไม่ได้รับการดูแลอย่างเพียงพอ และต้องอยู่ในความดูแลของปู่ย่าตายาย ส่งผลให้ขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเต็มศักยภาพ” พญ.สมสิริ กล่าว

พญ.สมสิริ กล่าวต่อว่า ในขณะที่หลายประเทศเริ่มให้ความสำคัญกับการสร้างระบบสนับสนุนประชากรกลุ่มแม่และเด็กอย่างเป็นรูปธรรม ประเทศเวียดนามซึ่งมีพัฒนาการด้านเศรษฐกิจและสังคมในระดับใกล้เคียงกับไทย ได้แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในสวัสดิการของหญิงตั้งครรภ์และมารดาหลังคลอด โดยมีนโยบายลาคลอดได้นานถึง 6 เดือน พร้อมการรับผิดชอบค่าจ้างตลอดช่วงเวลาดังกล่าว แตกต่างจากประเทศไทยที่มีกำหนดระยะเวลาลาคลอด 3 เดือน และในความเป็นจริงกลับมีการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเพียง 1 เดือนครึ่งเท่านั้น ปัจจุบันจึงมีความพยายามผลักดันนโยบายให้สามารถลาคลอดได้ถึง 4 เดือน และได้รับค่าจ้างที่เหมาะสม เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทยในปัจจุบัน

เมื่ออัตราการเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง พญ.สมสิริ กล่าวว่า การลงทุนในคุณภาพชีวิตของเด็กที่เกิดจึงยิ่งมีความสำคัญ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้เด็กได้รับนมแม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาทุนมนุษย์ที่มีคุณภาพในระยะยาว นมแม่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างพัฒนาการทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสมอง ช่วยเพิ่มพัฒนาการทางสติปัญญา (IQ) และความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสการเกิดโรคเรื้อรังและโรคภูมิแพ้ รวมถึงมีส่วนช่วยลดอัตราการเสียชีวิตในทารกได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยการได้รับนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 เดือนหรือมากกว่านั้น มีผลต่อการเจริญเติบโตของสมอง การพัฒนาเครือข่ายเซลล์ประสาท และการเรียนรู้ในระยะยาว โดยมีงานวิจัยระยะยาวจากประเทศบราซิลที่แสดงให้เห็นว่า เด็กที่ได้รับนมแม่มีระดับ IQ สูงขึ้นเฉลี่ย 3.4 จุด และมีแนวโน้มฉลาดมากขึ้นเมื่อเติบโตถึงร้อยละ 72 โดยในช่วง 6 เดือนแรก ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCD) เช่น โรคอ้วนในวัยเด็กและวัยรุ่นได้ถึงร้อยละ 30–38 ลดโอกาสการเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคภูมิแพ้ โรคภูมิต้านทานผิดปกติ รวมถึงโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้การได้รับนมแม่ต่อเนื่องถึงช่วงวัยเด็กตอนต้น ยังส่งผลดีต่อการปรับโครงสร้างสมอง เพิ่มทักษะด้านการคิดวิเคราะห์และการรับรู้ทางสังคมเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น

พญ.สมสิริ กล่าวอีกว่า นมแม่เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด เสมือนวัคซีนธรรมชาติที่ถ่ายทอดภูมิคุ้มกันจากแม่สู่ลูก มีสารต้านการอักเสบ ช่วยลดการติดเชื้อและการเสียชีวิตในทารกได้ถึงร้อยละ 50–80 โดยเฉพาะในทารกคลอดก่อนกำหนด ซึ่งยังช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในลำไส้และภาวะเลือดออกในสมอง รวมถึงมีเซลล์ต้นกำเนิดที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของร่างกาย นอกจากประโยชน์ต่อทารกแล้ว การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพมารดา ช่วยลดภาวะตกเลือดหลังคลอด ทำให้มดลูกเข้าอู่เร็ว รูปร่างกลับคืนสู่ปกติไวขึ้น และเว้นระยะห่างการมีบุตรตามธรรมชาติ อีกทั้งยังลดความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ โรคกระดูกพรุน และโรคเรื้อรังอื่น ๆ พร้อมส่งเสริมบทบาทของความเป็นแม่ในทุกมิติ

พญ.ปานรวี นิลพร สถาบันโรคผิวหนัง นอกจากบทบาทของแพทย์ก็ยังทำหน้าที่คุณแม่ของน้องอคิณวัย 8 เดือน ได้เล่าว่า ในปัจจุบัน การเลี้ยงลูกมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย คุณพ่อคุณแม่สมัยใหม่หลายคนต้องทำงานหนัก ทำให้บางครอบครัวเลือกเลี้ยงลูกด้วยนมผสมบ้าง ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพราะสิ่งที่เราภูมิใจคือการได้เป็นแม่และเลี้ยงลูกด้วยความรัก

“อย่างไรก็ตามการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีคุณค่าทางโภชนาการและภูมิคุ้มกันที่ดีมากสำหรับลูก โดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนแรก การให้นมแม่อย่างเดียวถือว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่จะช่วยให้ลูกแข็งแรงและเติบโตอย่างมีคุณภาพ เพราะตนตั้งใจให้นมแม่ตั้งแต่รู้ตัวว่ากำลังตั้งครรภ์ และวางแผนว่าจะให้นมลูกได้ประมาณ 6 เดือน หรือมากกว่านั้น แม้จะต้องไปทำงาน หรือมีเวลาน้อย แต่ก็พยายามจัดสรรเวลา เช่น ให้นมในตอนกลางคืน หรือปั๊มนมเก็บไว้ในช่วงกลางวัน อยากส่งกำลังใจให้คุณแม่ทุกคน ไม่ว่าคุณจะเลือกเลี้ยงลูกด้วยวิธีไหน คุณคือแม่ที่ยอดเยี่ยมในแบบของคุณ” พญ.ปานรวี กล่าว

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ไทยโพสต์

อยากกลับไปกอด! มทภ.2 ขอบคุณ ‘คุณแม่’ อนุญาตให้ ลูกชาย มาทำหน้าที่เพื่อแผ่นดิน ไม่ต้องห่วงผม

25 นาทีที่แล้ว

ด่วน! ทหารพรานเหยียบกับระเบิดใกล้ปราสาทตาเมือนธม บาดเจ็บสูญเสียขา 1 นาย

34 นาทีที่แล้ว

‘สรวงศ์’ ปัดข่าวนายกฯ จ่อลาออก หลังงบฯผ่านสภาฯ

36 นาทีที่แล้ว

ด่วน! ทบ.แจ้ง ‘ทหารไทย’ โดนกับระเบิดเขมร ขาขาดอีก1นาย ขณะลาดตระเวนพื้นที่ปราสาทตาเมืองธม

49 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

รัฐมนตรีพาณิชย์เร่งฟื้นฟูการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมหาตลาดใหม่

THE STANDARD

"ชัชชาติ" ยินดี ส.ก.ตรวจสอบงบฯ 69 รับตัวเลขอาจคลาดเคลื่อน ปรับเปลี่ยนได้

สยามรัฐ
วิดีโอ

ผศ.ดร.นพดล ชี้เหตุโจมตีพลเรือนไทยเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม แนะรวบรวมหลักฐานยื่น ICC เอาผิดฮุน เซน

BRIGHTTV.CO.TH
วิดีโอ

เรือยามฝั่งจีนไล่เรือฟิลิปปินส์จนชนเรือกองทัพจีน

Thai PBS
วิดีโอ

พล.ต.วันชนะ ลั่น ฝากถึงผู้นำเขมร ก่อนจะออกมาแหกปากแถลงโกหกขอให้แหกตาดูความจริงด้วย ไทยยึดยอดภูมะเขือสำเร็จ

BRIGHTTV.CO.TH

รัฐบาล "กัมพูชา" เพิ่มอำนาจ ออกกฎหมาย "ถอดสัญชาติ" พลเรือน ทำแรงงานกัมพูชาแห่กลับ

TNN ช่อง16

ทหารพรานเหยียบกับระเบิด ขาขาด 1 นายขณะลาดตระเวน ปราสาทตาเมือนธม

สยามรัฐ

ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายที่ดิน ชี้คำสั่ง “ภูมิธรรม” ให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินเขากระโดงใน 1-2 วันทำไม่ได้ เหตุศาลยังไม่สั่งเพิกถอน 700 แปลง

Manager Online

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...