อดีตผู้พิพากษาฯ รอวัดใจศาลฎีกาฯ สั่งบังคับโทษทักษิณใหม่ 9 ก.ย.
อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ รอวัดใจศาลฎีกาฯ 9 ก.ย.สั่งบังคับโทษจำคุกทักษิณใหม่หรือไม่ ชี้ปมชั้น 14มีปัญหา จนท.เกี่ยวข้องผิดหมด หวังองค์คณะฯ เคลียร์หมดทุกจุด โดยเฉพาะการใช้อำนาจเข้าไต่สวน
12 สิงหาคม 2568 - นายสุโรจน์ จันทรพิทักษ์ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ กล่าวถึงการไต่สวนเรื่องการรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือคดีชั้น 14 รพ.ตำรวจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ศาลฎีกาฯนัดฟังคำสั่งผลการไต่สวนในวันที่ 9 ก.ย.นี้ โดยเมื่อถามว่าคิดว่ากรณีดังกล่าว การบังคับโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ มีปัญหาหรือไม่ นายสุโรจน์ อดีตตุลาการฯ ระบุว่า "มีปัญหาแน่นอน อย่างที่สังคมทั่วไปเขารู้ ที่ไม่จำเป็นต้องให้ศาลฎีกาฯ วินิจฉัย เพียงแต่ตอนนี้เรารอเกณฑ์ที่จะมาบังคับเท่านั้นเอง แต่ความรู้สึกของสังคมมันไปแล้ว"
เมื่อถามถึงว่า คดีชั้น 14 จะเป็นบทเรียนในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย การบังคับโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ เป็นบทเรียนของนักการเมือง ที่อาจจะมีการใช้อำนาจรัฐช่วยเหลือกันไม่ให้ทำตามกฎหมายอย่างไร อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ กล่าวว่า ตอนนี้ผมว่าเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องผิดหมด ปัญหาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในความเห็นผม นายทักษิณ ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง มุมมองผม เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้น คือการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ ปัญหาก็คือว่าตรงนี้ศาลจะกล้าก้าวหรือไม่ว่า เมื่อยังไม่มีการบังคับโทษ ก็ให้ไปบังคับโทษใหม่ ซึ่งตรงนี้โดยหลักแล้วมันต้องมีจุดรองรับ ซึ่งหากมีคำร้องของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตส.ส.นครนายกฯ อยู่มันก็จบ ก็สั่งไปตามคำร้องที่เขาร้องขอให้ศาลสั่งให้มีการบังคับโทษใหม่ แต่ตรงนี้ กระบวนการทั้งหมด ที่มีการไต่สวน มันเกิดจากความไม่ชอบของเจ้าหน้าที่ อย่างคนไปถามนายทักษิณเรื่องชั้น 14 ก็บอกว่าไม่รู้เรื่อง เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ ก็ทำตามเขา เขาว่าป่วย ผมก็ป่วย
“ต้องรอดูว่าศาลฎีกาฯ จะก้าวไปถึงขนาดนั้นหรือไม่ว่าให้มีการบังคับโทษกับนายทักษิณใหม่ ตรงนี้ ถ้าศาลทำอย่างนั้นได้ มันก็จะเป็นอีกบทหนึ่งของทางนิติศาสตร์ว่าศาลสามารถที่จะใช้อำนาจของตัวเองได้ในการบังคับโทษ กับบุคคลใดๆ ก็ได้ หากศาลเห็นว่า เขายังไม่ได้รับโทษ สิ่งนี้คือบทสรุป ถ้ามันเป็นแบบนั้น แต่โดยเนื้อมันไม่มีอะไรมารองรับเพราะคำร้องของนายชาญชัยตกไปแล้ว หากคำร้องของนายชาญชัยยังอยู่ ก็โอเค ศาลสามารถสั่งได้เต็มที่ตามคำร้องที่ร้องมา คือศาลเห็นด้วยกับคำร้องที่ร้องมาแล้วศาลจะบังคับโทษใหม่ แต่เมื่อคำร้องเขาหมด ศาลจะกล้าพูดถึงตรงนี้หรือไม่ เจ้าหน้าที่โอเคว่าผิดหมด ถ้าในกระบวนการเท่าที่ฟังจากสื่อ แต่ปัญหาคือว่าสิ่งที่จะบังคับนายทักษิณ ศาลจะกล้าหรือไม่”
อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์กล่าวต่อไปว่า ประเด็นการบังคับโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ นั้น อย่างที่บอกคือ ผมห่วงตรงนี้ว่า เขาเรียกว่าอะไร การรับคำร้อง ไม่รับคำร้อง ยกคำร้อง คำร้องมันไม่มี แล้วศาลฎีกาฯไต่สวนโดยนำอะไรมารองรับ ตรงนี้สิ่งที่น่าห่วง เพราะหากศาลบอกว่า ศาลฎีกาฯจะวางบรรทัดฐาน มันจะใช่หรือไม่ ตามหลัก คือผมเป็นห่วงในเรื่องของวิธีพิจารณา สิ่งที่ศาลสั่ง เรื่องชั้น 14 มันต้องมีจุดรองรับเพราะเมื่อคำร้องของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ตกไป มันก็ไม่มีคำร้อง เท่ากับว่าศาลฎีกายกคำร้องแล้ว ศาลใช้อำนาจของตัวเองมาไต่สวน มันก็จะเกิดคำถามว่า แล้วต่อไปหากมีคำร้องอื่นๆ ตามมา ศาลจะใช้แบบนี้หรือไม่ ถ้าศาลไม่ใช้ มันก็จะกลายเป็นว่า ศาลเลือกข้างหรือไม่ ที่ผมก็มีความเห็นว่า ควรต้องมีการแก้กฎหมายในเรื่องการให้อำนาจประชาชนร้องต่อศาลฯ ประชาชนร้องเองเลยก็จบ และหากประชาชนร้องศาลจะรับพิจารณาหรือไม่ หากประชาชนร้อง ศาลก็ไต่สวนว่าคำร้องมีมูลหรือไม่มีมูล เพราะหน้าที่ในการปฏิบัติตามกฎหมายของนักการเมือง เป็นหน้าที่ของทุกคนที่คอยดูว่านักการเมืองฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ เพราะเขาเป็นบุคคลที่ต้องทำประโยชน์ให้กับสังคม
"ผมมองแบบนี้ คือสิ่งที่ศาลฎีกาฯ จะมีคำสั่งออกไป จะมีจุดรองรับในแง่วิธีพิจารณาอย่างไร ซึ่งผมยังมองไม่ออก แต่ว่าตรงนี้เหมือนกับหลักพื้นฐาน คือ หากยื่นคำร้องไปแล้วยกคำร้อง ทุกอย่างมันจบใช่หรือไม่ มันไม่มีอะไรจะให้ดำเนินการต่อ พอไปทำต่อ สู้ไปรับไม่ดีกว่าหรือ ถ้ารับคำร้องก็จบ จะมีอำนาจสมบูรณ์ ตรงนี้ผมว่าเป็นจุดอ่อนในมุมมองของผม มันเป็นจุดอ่อนของนิติวิธี มันเป็นกระบวนการทางนิติวิธี ตรงนี้ศาลต้องให้เหตุผลอย่างไรเพื่อให้เห็นว่า จะปิดจุดอ่อนตรงนี้อย่างไร เพราะโดยหลักแล้วเมื่อยื่นคำร้อง เหมือนอย่างยื่นฟ้องไป แต่ศาลยกฟ้อง มันก็หมด ศาลจะไปว่าต่อ มันก็ไม่มีอะไรเหลือ ที่จะให้ว่าต่อ อันนี้ก็เหมือนกัน อันนี้ห่วง แต่ความรู้สึกของสังคม อันนั้นใช่ ที่เป็นเรื่องของเนื้อหาแต่เรื่องของวิธีการ เพราะสิ่งที่ทำวันนี้คือบรรทัดฐานต่อไปในวันข้างหน้า ถ้าเกิดว่าเราไม่ทำตาม มันเหมือนกับว่าเราเลือกข้าง ซึ่งมันไม่ได้ เพราะกฎหมายมันเลือกปฏิบัติไม่ได้ ทุกอย่างมันต้องเกิดจากอำนาจโดยชอบของกฎหมาย ตรงนี้ผมห่วง คือผมก็ดูในแง่ของวิธีพิจารณาฯ เพราะอย่างที่บอก นายชาญชัย ยื่นคำร้องครั้งแรก ศาลฎีกาฯ ก็ยก แล้วไปยื่นซ้ำครั้งที่สองอีก ศาลฎีกาฯก็ยก พอไปยื่นครั้งที่สาม ก็ยก แต่ศาลแจ้งจะทำการไต่สวนเอง คำถามก็คือ แล้วเหตุใดไม่ไต่สวนตั้งแต่ตอนแรก และเมื่อไต่สวนแล้ว เวลาศาลฎีกาฯจะสั่ง จะสั่งอย่างไร เพราะปกติเวลาศาลสั่ง จะสั่งตามฟ้อง แต่กรณีชั้น 14 คำร้องไม่มี มันหมดไปแล้วศาลฎีกาฯจะสั่งอย่างไร อำนาจของศาลจะมีแค่ไหน"นายสุโรจน์ให้ความเห็นในฐานะอดีตผู้พิพากษาฯ
สำหรับนายสุโรจน์ ปัจจุบันอายุ59ปีโดยเหลืออายุราชการอีก11ปีถึงเกษียณ ตอน70ปีแต่ได้ยื่นใบลาออกจากราชการแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างรอพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าให้พ้นจากตำแหน่งข้าราชการตุลาการอย่างเป็นทางการ.