รมว.คลังสหรัฐ มั่นใจศาลสูงสุดหนุนแผน “ภาษีทรัมป์” แต่เตือนหากแพ้อาจต้องคืนเงินนับล้านล้านดอลลาร์
รมว.คลังสหรัฐ ระบุว่าแผนเก็บภาษีทรัมป์มีโอกาสชนะในศาลสูงสุด แต่หากถูกตัดสินเป็นโมฆะ รัฐบาลอาจต้องคืนเงินภาษีมูลค่า 750,000 ล้าน–1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเสี่ยงสร้างความปั่นป่วนรุนแรงต่อเศรษฐกิจ
วันที่ 8 กันยายน 2568 เวลา 05.37 น. สำนักข่าว CNBC รายงานว่า สกอตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า เขามั่นใจว่าแผนการเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะชนะในศาลสูงสหรัฐ แต่ก็เตือนว่าหากศาลมีคำตัดสินเป็นลบ กระทรวงการคลังจะถูกบังคับให้คืนเงินภาษีมูลค่ามหาศาล
เบสเซนต์กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับรายการ Meet the Press ของ NBC ว่า“ถ้าศาลตัดสินยกเลิก เราจะต้องคืนภาษีราวครึ่งหนึ่ง ซึ่งถือว่าเลวร้ายอย่างมากสำหรับกระทรวงการคลัง” พร้อมย้ำว่า “แต่ถ้าศาลตัดสินมาเช่นนั้น เราก็ต้องปฏิบัติตาม”
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลทรัมป์ได้ยื่นคำร้องต่อศาลสูงสุดเพื่อขอเร่งพิจารณาคดี หลังศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยว่าส่วนใหญ่ของมาตรการเก็บภาษีนำเข้าจากต่างประเทศของทรัมป์นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปกติแล้วศาลสูงสุดอาจใช้เวลาถึงต้นฤดูร้อนปีหน้าในการตัดสินชี้ขาดเรื่องความชอบด้วยกฎหมายของมาตรการภาษีเหล่านี้
เบสเซนต์เตือนว่า หากเลื่อนการตัดสินออกไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2569 อาจเกิดสถานการณ์ที่รัฐบาลเก็บภาษีไปแล้ว 750,000 ล้าน – 1 ล้านล้านดอลลาร์ และการต้องคืนเงินภาษีในภายหลังอาจก่อให้เกิดความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง การคืนเงินในระดับนี้ยังอาจกลายเป็นผลตอบแทนที่ไม่เคยมีมาก่อนให้แก่บริษัทและหน่วยงานที่เป็นผู้จ่ายภาษี
คำเตือนของเบสเซนต์มีขึ้นในช่วงที่มาตรการภาษีของทรัมป์กำลังเผชิญความไม่แน่นอน หลังจากศาลอุทธรณ์รัฐบาลกลางมีคำตัดสินเมื่อเดือนที่แล้วว่า มาตรการภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) ส่วนใหญ่ของเขาเป็นสิ่งผิดกฎหมาย โดยศาลเห็นว่าทรัมป์ใช้อำนาจประธานาธิบดีเกินขอบเขตในการประกาศเก็บภาษีต่อเกือบทุกประเทศภายใต้แนวคิดวันปลดปล่อย (liberation day)
ศาลอุทธรณ์ได้ชะลอการบังคับใช้คำตัดสินไปจนถึงวันที่ 14 ตุลาคม เพื่อเปิดโอกาสให้รัฐบาลยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุด ทรัมป์ได้ร้องขอให้ศาลสูงสุดรับฟังคดีในเดือนพฤศจิกายนและเร่งตัดสินในไม่ช้าหลังจากนั้น
ก่อนหน้านี้ มาตรการภาษีดังกล่าวครอบคลุมเกือบ 70% ของสินค้านำเข้าสหรัฐ แต่หากถูกศาลตัดสินยกเลิก จะเหลือผลบังคับใช้เพียงราว 16% เท่านั้น
แม้เบสเซนต์และเจ้าหน้าที่รัฐบาลจะมั่นใจว่าศาลสูงสุดจะตัดสินเข้าข้าง แต่ฝ่ายบริหารก็เตรียม “แผนสำรอง” ไว้หากแพ้คดี โดย เควิน แฮสเส็ตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ (NEC) ระบุว่า รัฐบาลยังมีอำนาจทางกฎหมายอื่นที่สามารถใช้ได้ เช่น การอ้าง มาตรา 232 ของกฎหมาย Trade Expansion Act ปี 1962 ซึ่งให้อำนาจประธานาธิบดีเก็บภาษีเพื่อลดการนำเข้าที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ รวมถึงการเก็บภาษีเฉพาะบางอุตสาหกรรม
ตัวอย่างเช่น ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา รัฐบาลทรัมป์ได้ขยายการเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม 50% ไปยังสินค้าอีกกว่า 400 รายการ และยังขู่จะเก็บภาษีสูงกับสินค้าอย่าง เซมิคอนดักเตอร์และยารักษาโรค
นอกจากนี้มาตรการภาษีบางส่วนไม่ได้รับผลกระทบจากคดี เช่น การยกเลิก ข้อยกเว้น de minimis สำหรับสินค้าส่งเข้ามายังสหรัฐฯ มูลค่าไม่เกิน 800 ดอลลาร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับการยกเว้นภาษี
ทั้งนี้เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา สหภาพไปรษณีย์สากล (Universal Postal Union: UPU) ซึ่งเป็นหน่วยงานของสหประชาชาติ เปิดเผยว่าปริมาณพัสดุที่ส่งเข้ามายังสหรัฐลดลงกว่า 80% หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ยกเลิกข้อยกเว้นภาษีดังกล่าว ขณะที่ผู้ให้บริการไปรษณีย์ทั่วโลกต่างรอคำชี้แจงการปฏิบัติภายใต้กฎใหม่
อ้างอิง : cnbc.com