อุ๊งอิ๊งค์-เพื่อไทย ดีแต่โม้ ทำไม่ได้สักเรื่อง !?
เมืองไทย 360 องศา
เนื้อหาในจดหมายของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ส่งถึงประเทศไทยยืนยันเก็บภาษีนำเข้าในอัตราร้อยละ 36 ตามที่เคยประกาศเอาไว้ก่อนหน้านี้ หลังจากผ่านพ้นการยืดเวลามา 90 วัน ขณะเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าการเจรจาของฝ่ายไทย ที่เรียกว่า “ทีมไทยแลนด์” ที่นำโดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถือว่า “ล้มเหลว” อย่างสิ้นเชิง โดยไม่สามารถโน้มน้าวให้ทางสหรัฐ ลดการเก็บภาษีนำเข้าจากไทยลงได้เลย
อย่างที่รับรู้กันแล้วว่า หากสหรัฐยังเก็บภาษีในอัตรานี้กับไทย นั่นแสดงให้เห็นว่า ไทยซึ่งเป็นชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในกลุ่มอาเซียน ที่โดน “ภาษีทรัมป์” สูงเป็นอันดับสอง และโดนเก็บเทียบเท่ากัมพูชา ที่ร้อยละ 36 และไทยยังเป็น 1 ใน 3 ชาติ จากทั้งหมด 14 ชาติ ที่ถูกเรียกจัดเก็บในอัตราภาษีระดับเดิมของประกาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 เม.ย. รวม อินโดนีเซีย (32%) และเกาหลีใต้ (25%)
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่ากังวลก็คือ ในท้ายของจดหมายดังกล่าว ทรัมป์ ยังขู่ที่จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก หากไทยคิดที่จะตอบโต้ โดยตอนท้ายของจดหมายแจ้งภาษีได้กล่าวมีใจความว่า
“หากว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามที่ทางฝ่ายท่านตัดสินใจจะเพิ่มอัตราภาษี ดังนั้นแล้วตัวเลขใดก็ตามที่ฝ่ายท่านเลือกที่จะเพิ่มนั้นจะถูก(ทางเรา) บวกเพิ่มจาก 36% ที่ทางเราได้ตั้งไว้”
และเสริมต่อว่า “ขอได้โปรดเข้าใจว่าภาษีเหล่านี้มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขภาษีไทย และมาตรการไม่ใช่ภาษี (Non Tariff), นโยบาย และกำแพงการค้าส่งผลทำให้เกิดการขาดดุลการค้าอย่างไม่ยั่งยืน สำหรับสหรัฐฯ การขาดดุลการค้านี้ถือเป็นภัยคุกคามใหญ่ต่อเศรษฐกิจของพวกเรา และแน่นอนต่อความมั่นคงของพวกเรา”
ทั้งนี้ ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า ไทยที่มีรายชื่อในประเทศยื่นใบสมัครเข้าร่วม กลุ่มBRICS ภายใต้การนำของ รัสเซีย และ จีน ที่ถือเป็นปรปักษ์ต่อสหรัฐฯ โดยปัจจุบันไทยถูกประกาศให้อยู่ในสถานะชาติพันธมิตรกลุ่ม BRICS และจากจุดนี้ ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ไทยอาจโดนสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก 10% สำหรับชาติสนับสนุนกลุ่ม BRICS ด้วยหรือไม่
อย่างไรก็ดี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม กรณีมาตรการกำแพงภาษี ที่สหรัฐอเมริกายังคงเรียกจัดเก็บภาษีไทยอยู่ที่ 36% ว่า รายละเอียดเรื่องนี้ต้องถาม นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งได้คุยกันกรณีเรื่องของจดหมายที่ส่งมา โดยขอยืนยันว่า การเจรจาทั้งหมด ต้องเป็นเรื่องของรัฐบาลเท่านั้น โดยที่รัฐบาลจะเป็นผู้เจรจาและตอบกลับไปยัง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งหากถามความคิดเห็นส่วนตัวของตน ในความเห็นของประชาชนคนหนึ่ง คิดว่า ยังมีโอกาสในเรื่องนี้อยู่ ส่วนรายละเอียดทั้งหมด ขอให้สอบถามจากนายพิชัย
ที่ผ่านมา นายพิชัย เคยมองในแง่บวก โดยเชื่อว่าก่อนที่จะอัตราภาษีใหม่ของสหรัฐจะใช้บังคับกับไทย เราน่าจะสามารถตกลงกันได้ก่อนวันที่ 1 สิงหาคม นั่นคือ สามารถเจรจาให้ลดลงมาได้
“เรื่องนี้ยอมรับว่า มีช็อกบ้าง ช็อกนิดหน่อย แต่เราเลยจุดนี้มาแล้ว และคาดว่า การยื่นจดหมายเก็บภาษี 36% นั้น เป็นเรื่องเวลาของทั้งฝั่งไทยและสหรัฐฯ เพราะใกล้จะถึงเดดไลน์ 9 ก.ค. 2568 ตามที่สหรัฐฯกำหนดจดหมายจึงออกมาก่อน ซึ่งในส่วนนี้ยังไม่ได้พิจารณาข้อเสนอใหม่ที่ไทยส่งไปล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา” นายพิชัย กล่าวแสดงความรู้สึกภายหลังทราบเนื้อหาในจดหมายของประธานาธิบดีสหรัฐ
แน่นอนว่า การเจรจากับสหรัฐ ในยุคของ โดนัลด์ ทรัมป์ มันเป็นเรื่องยาก และเอาแน่เอานอนไม่ได้ วันนี้พูดอย่าง พรุ่งนี้พูดอีกอย่าง แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ หรือผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ เหมือนกับที่ทางรัฐบาลเวียดนามทำได้มาแล้ว จากเดิมที่ถูกขู่เรียกเก็บภาษีนำเข้าถึงร้อยละ 46 จนสามารถเจรจาลดภาษีลงมาเหลือร้อยละ 20 ซึ่งเป็นผลมาจากความทุ่มเท การเตรียมความพร้อมทั้งข้อมูล การเข้าถึงแบบ “รู้เขารู้เรา” ระดับผู้นำประเทศสามารถเปิดเจรจากันได้
แม้ว่าจะยังมีรายละเอียดตามมา เช่น กรณีที่มีการ “สวมสิทธิ์” สินค้าจากประเทศที่สาม จะถูกเรียกเก็บภาษีร้อยละ 40 และทางเวียดนามจะไม่เก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐ หรือศูนย์เปอร์เซ็นต์ แต่ในเมื่อการส่งออกไปสหรัฐเป็นตลาดใหญ่ที่สุด มีผลต่อจีดีพีสูงมาก จากการส่งออกทั้งหมดของเวียดนาม ถือว่าคุ้มค่า เพราะพวกเขาเชื่อว่าสามารถแข่งขันได้
เมื่อวกกลับมาที่ไทย กรณี “ภาษีทรัมป์” ถือว่าเป็นการพิสูจน์แบบคำโตๆ ว่า ทั้งตัวนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พรรคเพื่อไทย และ “ทีมเศรษฐกิจ” ของรัฐบาลและของพรรค “มีความล้มเหลว” อย่างสิ้นเชิง ทั้งในเรื่องเทคนิค ข้อมูลในการเจรจา จนล้มเหลว ไม่สามารถลดการเรียกเก็บได้แม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว และน่าจะเป็นเรื่องยากภายใต้เงื่อนไข และข้อเสนอที่มีอยู่ และนำไปเสนอยังเชื่อว่าเป็นเรื่องยากที่จะลดลงมาให้ได้เหลือ ร้อยละ 20-25 เนื่องจากตามสภาพแล้ว เขายังถือไพ่เหนือกว่าเรา
อย่างไรก็ดี หากย้อนกลับไปพิจารณาคำพูดของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พูดเมื่อสองสามเดือนก่อน ย้ำว่า ทางรัฐบาล ได้เตรียมการมาอย่างดี ทั้งทีมเจรจา และข้อมูล มีการตั้งทีมเอาไว้ตั้งแต่เดือนมกราคม และที่สำคัญ ต้องไม่ลืมคำพูดของนายทักษิณ ชินวัตร ที่ย้ำว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะตัวเองสามารถต่อสายกับคนรอบข้างของ ทรัมป์” อยู่ตลอดเวลา แต่ผลที่ออกมา มันสะท้อนให้เห็นว่า “ดีแต่โม้” ทำไม่ได้จริงสักเรื่อง
นี่คือตัวอย่าง “ความไม่เอาไหน” ของ ทั้งนายกรัฐมนตรี ทีมเศรษฐกิจ และพรรคเพื่อไทย ทั้งหมดที่กล่าวมา เพราะหากพิจารณาโฟกัสเฉพาะเรื่องภาษีของ โดนัลด์ ทรัมป์ เรื่องเดียวที่เป็นเรื่องใหญ่ มีผลต่อเศรษฐกิจ เพราะหากในที่สุดออกมาตามอัตราที่ว่าจริงแล้ว จะทำให้จีดีพีไทยมีความเสี่ยงถึงขั้นถดถอย เนื่องจากยังไม่เห็นแนวโน้ม ทั้งทีมงาน และตัวผู้นำคือ นายกรัฐมนตรี ว่าจะนำพาให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้ ตรงกันข้ามหากเธอยังเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป เชื่อว่าจะยิ่งเลวร้ายเร็วขึ้นไปอีก
ดังนั้นหากให้สรุปให้ชัดเจนก็ต้องบอกว่า ทุกเรื่องที่รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ล้มเหลวในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม ไม่เคยทำได้สักเรื่อง เอาเฉพาะเรื่องหลัก และนึกได้ ไม่ว่า แจกเงินหมื่นดิจิทัล ล่าสุดก็ต้องถอนเรื่อง“เปิดบ่อน” หรือกฎหมายเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ออกจากวาระในสภาไปแล้ว ขณะที่เรื่องใหญ่อย่าง “ภาษีทรัมป์” ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า ต่อรองลดไม่ได้สักเปอร์เซ็นต์เดียว ทำให้ต้องทำใจว่า ภายในสิ้นปีนี้ น่าจะพบกับภาวะลำบากหนักหน่วงเรื่อง “ปากท้อง” ยิ่งกว่าเดิม!!
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO