ท่องเที่ยวเลื่อนเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน รับสถานการณ์ยังไม่เอื้อ
กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ประกาศเลื่อนการเก็บค่าธรรมเนียมเดินทางเข้าประเทศไทยจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือ "ค่าเหยียบแผ่นดิน" ออกไปเป็นปีหน้า
โดยให้เหตุผลว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวในปัจจุบันยังไม่เอื้ออำนวยและยังไม่เหมาะสม การตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการประชุมบูรณาการแผนปฏิบัติการ ททท. ปี 2569 (TATAP 2026) ที่มุ่งเน้นการปรับสมดุลตลาด และขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยสู่การสร้างรายได้ที่ยั่งยืน
นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้กล่าวถึงความคืบหน้าในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวว่า “ขณะนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าว โดยยังอยู่ระหว่างการศึกษาและอยู่ในขั้นตอนเชิงทฤษฎี” แสดงให้เห็นถึงความรอบคอบของภาครัฐในการพิจารณาผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว
ทิศทางการท่องเที่ยวไทยในยุคใหม่: จากปริมาณสู่คุณภาพและความยั่งยืน
การเลื่อนการเก็บค่าเหยียบแผ่นดินสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของ ททท. ในการปรับตัวให้เข้ากับบริบทการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเน้นย้ำถึงการเปลี่ยนจากการเน้นปริมาณไปสู่ "คุณภาพ" โดยมีแนวทางที่สำคัญดังนี้:
เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง: ททท. จะมุ่งเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีการใช้จ่ายสูงและมีความสนใจพิเศษ เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health & Wellness), การท่องเที่ยวสำราญทางน้ำ รวมถึงนักท่องเที่ยวที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
กระจายความเสี่ยงและสร้างสมดุลตลาด: ลดการพึ่งพิงตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป และสร้างสมดุลระหว่างตลาดในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงตลาดระยะใกล้และระยะไกล
ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก: กระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการท้องถิ่นผ่านการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวจากเมืองหลักสู่ "เมืองน่าเที่ยว"
รับมือกับวิกฤตและส่งเสริมความยั่งยืน: เตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตในทุกรูปแบบ และส่งเสริมให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวตระหนักและปรับตัวสู่ความยั่งยืนในทุกมิติ
แผนปฏิบัติการ ททท. ปี 2569: มุ่งเน้นประสบการณ์เฉพาะตัว ความปลอดภัย และความยั่งยืน
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยว่า ในการประชุม TATAP 2026 ททท. ได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานในปี 2569 เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยมุ่งสู่คุณภาพ สร้างสมดุล และความยั่งยืน ให้สอดรับกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ "ประสบการณ์เฉพาะตัว" "ความปลอดภัย" และ "ความยั่งยืน"
ททท. จะทบทวนจุดยืนใหม่ โดยเฉพาะการปรับสมดุลตลาดให้ตอบโจทย์นโยบายเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่กับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อสร้างรายได้ในระยะสั้น และวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว โดยจะให้ความสำคัญกับการทำตลาดบนพื้นฐานข้อมูลพฤติกรรมเชิงลึกของนักท่องเที่ยว และบูรณาการการทำงานแบบ 360 องศากับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์
ตลาดต่างประเทศ (Relocation): สร้างความสมดุลของตลาดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก แก้ปัญหาภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย การเป็นแหล่งท่องเที่ยวเก่าในสายตานักท่องเที่ยว และการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยว รวมถึงเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีกำลังซื้อและใช้จ่ายทางการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น
ตลาดในประเทศ (City Marketing): มุ่งเพิ่มความถี่ในการเดินทางของคนไทยทั้งภายในภูมิภาคและข้ามภูมิภาคด้วยการจัดกิจกรรมและบิ๊กอีเวนต์ตลอดทั้งปี การใช้กลยุทธ์ City Marketing นำเสนอจุดขายใหม่ๆ พร้อมบอกเล่าเรื่องราวเสน่ห์ไทย เพื่อส่งเสริมการเดินทางสู่เมืองน่าเที่ยว
พัฒนาสินค้าและเส้นทางท่องเที่ยว: สนองตอบความต้องการของแต่ละกลุ่มเป้าหมายทั้งระยะสั้นและระยะยาว พร้อมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อให้เกิดการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
ยกระดับมาตรฐานและนำเทคโนโลยีมาใช้: ผลักดันให้เกิดการยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการท่องเที่ยวสู่มาตรฐานยั่งยืนระดับสากล รวมถึงนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาช่วยยกระดับประสบการณ์การเดินทางของนักท่องเที่ยว
ททท. เชื่อมั่นว่าแนวทางดังกล่าวจะนำไปสู่การพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ให้ยังคงเป็นเครื่องมือที่สำคัญของประเทศในการสร้างเสถียรภาพด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมสู่ความยั่งยืนต่อไป
เตรียมพบกับการแถลงทิศทางการส่งเสริมการตลาด ททท. ปี 2569
ททท. กำหนดให้มีการแถลงทิศทางการส่งเสริมการตลาดการท่องเที่ยว ปี 2569 ในวันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ โดยจะมีการจัดกิจกรรม Market Briefing และ Tourism Clinic เพื่อให้ผู้ประกอบการธุรกิจได้พบปะหารือกับผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานต่างประเทศ และรับฟังการแถลงทิศทางการดำเนินงานด้านการตลาด ททท. ปี 2569 ผู้ที่สนใจสามารถรับชมได้ทาง YouTube Channel : Amazing Thailand
การตัดสินใจเลื่อนการเก็บค่าเหยียบแผ่นดินออกไป ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนจากภาครัฐถึงความสำคัญของการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในปัจจุบัน ควบคู่ไปกับการวางรากฐานที่มั่นคงเพื่อรับมือกับความท้าทายและโอกาสในการท่องเที่ยวยุคใหม่ที่เน้นคุณภาพและความยั่งยืนเป็นสำคัญ