เปิดหนังสือแบงก์ชาติ เตือนไทยตั้งฮับการเงิน ต้องคุมเสี่ยงฟอกเงิน
คณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 15 ก.ค.2568 มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ(ฑงร.บ.) ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. … (พ.ร.บ. Financial Hub) ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจพิจารณาแล้วเสร็จ โดยร่าง พ.ร.บ. Financial Hub นี้ จะถูกบรรจุวาระและเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรวาระที่ 1 ทันที
ในการพิจารณาวาระดังกล่าว ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท. ได้ทำความเห็นประกอบการพิจารณาลงวันที่ 13 มิ.ย. 2568 ระบุว่า ขอย้ำความเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่ต้องคำนึงถึงในการจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) ในประเทศไทย
ซึ่งเคยได้หยิบยกในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายและยกร่างกฎหมายเพื่อจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงิน การประชุมคณะอนุกรรมการยกร่างกฎหมายเพื่อจัดตั้งศูนย์กลางทางการเงิน และการประชุมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ของคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมถึงเคยได้มีหนังสือแจ้งความเห็นให้ ครม. พิจารณาเมื่อวันที่ 27 ม.ค.2568 ด้วยแล้ว ดังนี้
- 1.กำกับดูแลความเสี่ยงด้านการฟอกเงินหรือการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย (AML/CFT) ของการประกอบธุรกิจใน Financial Hub ในระดับที่ไม่ต่ำกว่ามาตรฐานในระบบการเงินหลักของประเทศและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
เนื่องจากกฎเกณฑ์ใน Financial Hub ผ่อนคลายมากกว่าปกติ Financial Hub บางแห่ง จึงถูกจับตามองหรือมีภาพลักษณ์ในการเป็นแหล่งสนับสนุนธุรภรรมทางการเงินที่ไม่ถูกกฎหมาย เช่น การฟอกเงิน การสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชน ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงที่ Financial Hub ในประเทศไทย จะกลายเป็นแหล่งสนับสนุนธุรกรรมทางการเงินที่ผิดกฎหมาย
การประกอบธุรกิจใน Financial Hub จึงจำเป็นต้องอยู่ภายใต้มาตรฐานการกำกับดูแลการป้องกันความเสี่ยงด้าน AML/CFT ที่ไม่ต่ำกว่ามาตรฐานในระบบการเงินหลักของประเทศและเป็นสากล รวมถึงต้องมีกลไกการบังคับใช้ที่ชัดเจนและเพียงพอ เพื่อให้มั่นใจว่าการกำกับดูแลด้าน AML/CFT จะเป็นไปอย่างเข้มงวด
มิฉะนั้น อาจทำให้การจัดตั้ง Financial Hub กลายเป็นการสร้างช่องทางในการหลบเลี่ยงกฎเกณฑ์และเป็นช่องทางในการฟอกเงิน ซึ่งจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือของระบบการเงินหลักและสร้างความเสียหายต่อประเทศในระยะยาวได้
- 2.ป้องกันไม่ให้การประกอบธุรกิจใน Financial Hub กระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินและระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยต้องกำหนดหลักการและแนวทางบริหารความเสี่ยงที่สำคัญเหล่านี้ไว้ในร่าง พ.ร.บ. ดังนี้
1.ไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจใน Financial Hub ให้บริการแก่คนในประเทศ เนื่องจากกฎเกณฑ์และการกำกับดูแลที่ผ่อนปรน จะทำให้ความเสี่ยงในการประกอบธุรกิจสูงกว่าในระบบการเงินหลัก รวมทั้งเกณฑ์การคุ้มครองผู้ใช้บริการอาจเข้มงวดน้อยกว่า ซึ่งหากเกิดความเสียหายกับผู้ใช้บริการคนไทย อาจส่งผลกระทบในวงกว้างและต่อเนื่องมายังเสถียรภาพของระบบการเงินหลักได้
นอกจากนี้ หากให้ผู้ประกอบธุรกิจใน Financial Hub ให้บริการแก่คนในประเทศ จะเป็นการให้บริการในลักษณะเดียวกับผู้ประกอบธุรกิจในระบบการเงินหลัก แต่อยู่ภายใต้บังคับของกฎเกณฑ์ที่มีความเข้มงวดน้อยกว่า และได้รับการอุดหนุนหรือสิทธิประโยชน์บางประการเป็นพิเศษ
ดังนั้น จึงต้องกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจใน Financial Hub ให้บริการเฉพาะผู้ที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (non-resident: NR) เท่านั้น (ร่างมาตรา 57)
2. แยกธุรกิจใน Financial Hub ไม่ให้ปะปนกับธุรกิจในระบบการเงินหลัก ทั้งในแง่ของนิติบุคคลผู้ประกอบธุรกิจและพื้นที่ในการประกอบธุรกิจ โดยการกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจใน Financial Hub แยกนิติบุคคลออกจากระบบการเงินหลักให้ชัดเจน
จะช่วยจำกัดความเสียหายในกรณีที่เกิดปัญหาใน Financial Hub ซึ่งอาจลุกลามจนส่งผลต่อธรกิจในระบบการเงินหลักและเสถียรภาพในวงกว้าง (ร่างมาตรา 38)
ส่วนการกำหนดให้มีพื้นที่ที่มีขอบเขตเฉพาะสำหรับ Financial Hub นอกจากจะเอื้อต่อการกำหนดสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจใน Financial Hub และสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายและการกำกับดูแลทั้งในรูปแบบ off-site และ on-site แล้ว ยังจะช่วยลดความสับสนให้กับผู้ใช้บริการและสาธารณชน และลดความเสี่ยงที่จะกระทบความเชื่อมั่นต่อระบบการเงินหลักที่เป็นระบบสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ
ตัวอย่างการกำหนดพื้นที่เฉพาะสำหรับ Financial Hub เช่น รัฐดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กำหนดให้ Dubai International Financial Centre มีขอบเขตพื้นที่ที่ชัดเจนไว้เป็นการเฉพาะ สำหรับการผลักดันการสร้าง Financial Free Zone (ร่างมาตรา 37)
3.มีกลไกให้หน่วยงานกำกับดูแลในระบบการเงินหลัก สามารถออกกฎเกณฑ์หรือมีคำสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจใน Financial Hub ต้องปฏิบัติตามได้ในภาวะวิกฤติ โดยหน่วยงานกำกับดูแลการประกอบธุรกิจใน Financial Hub จะมีบทบาทส่งเสริมการประกอบธุรกิจที่เน้นความคล่องตัวและกฎเกณฑ์ที่ผ่อนปรนเป็นหลัก
อย่างไรก็ดี ในภาวะวิกฤต หรือในกรณีที่มีเหตุอันอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน หรือระบบเศรษฐกิจของประเทศ หรือกระทบต่อประโยชน์ของประชาชนอย่างร้ายแรงนั้น จำเป็นต้องมีกลไกให้หน่วยงานกำกับดูแลในระบบการเงินหลักสามารถอกกฎเกณฑ์หรือมีคำสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจใน Financial Hub ต้องปฏิบัติตามได้ เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินแบบองค์รวม (ร่างมาตรา 41 และร่างมาตรา 71)
- 3.เตรียมหน่วยงานกำกับดูแลการประกอบธุรกิจใน Financial Hub ให้พร้อมก่อนอนุญาตให้มีการประกอบธุรกิจใน Financial Hub
เนื่องจาก Financial Hub จะประกอบด้วยธุรกิจทางการเงินที่มีความหลากหลาย หน่วยงานกำกับดูแลการประกอบธุรกิจใน Financial Hub จึงต้องทำหน้าที่เสมือนหน่วยงานกำกับดูแลหลักทั้งหมดรวมกัน
(ธปท. สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)) และในระยะเริ่มต้นจะมีภารกิจในการยกร่างกฎหมายลำดับรอง และกำหนดหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสำหรับธรรกิจแต่ละประประเภท
ดังนั้น จึงควรมีการจัดตั้งและเตรียมการอย่างเหมาะสม ทั้งด้านการวางโครงสร้างพื้นฐานขององค์กร การวางแผนจัดสรรทรัพยากรให้เพียงพอ และการวางระบบประสานงานกับผู้กำกับดูแลหลัก
โดยการให้ใบอนุญาตแก่ผู้ประกอบธุรกิจควรเริ่มดำเนินการเมื่อมีความพร้อม เพื่อมิให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบการเงินและระบบเศรษฐกิจ และกระทบต่อความน่าเชื่อถือของประเทศ
นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ประเด็นสำคัญอีกสองประการ ที่จำเป็นต้องคำนึงถึงควบคู่กันไป คือ การกำหนดเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการจัดตั้ง Financial Hub โดยประเมินจุดแข็งของประเทศ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและดึงดูดให้มีการมาประกอบธุรกิจใน Financial Hub เป็นลำดับแรก รวมถึงพิจารณาความเสี่ยงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นอย่างรัดกุมและรอบด้าน
เพื่อให้การจัดตั้ง Financial Hub ในประเทศไทยบรรลุเป้าประสงค์ในการดึงดูดเงินลงทุนเข้าประเทศ สนับสนุนให้เกิดการจ้างงาน และเกิดการถ่ายทอดความรู้ความชำนาญให้กับคนไทยได้ โดยตัวอย่างประเทศที่ประสบความสำเร็จในการจัดตั้ง Financial Hub เช่น สิงคโปร์ ได้กำหนดเป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางด้านการบริหารความมั่งคั่งและเทคโนโลยีทางการเงิน
นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องมีระบบนิเวศที่พร้อมรองรับและสนับสนุนการจัดตั้ง Financial Hub โดยระบุจุดที่ต้องยกระดับความพร้อมของประเทศไทยให้ชัดเจน นอกเหนือไปจากการมีกฎเกณฑ์การประกอบธุรกิจที่คล่องตัวและการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
เช่น ระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจของบริษัทข้ามชาติ แรงงานที่มีทักษะสูงและสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี ระบบธรรมาภิบาลและการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็ง โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่ง และปัจจัยสนับสนุนทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมในระดับสูง