เรื่องของ‘พระ’กับเรื่องของ‘ศาสนา’
กระทั่ง สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ท่านยัง ทรงอดไม่ได้ ที่จะต้องหยิบเอาเรื่องคำพูด คำจา เรื่องการแสดงออกของผู้คนในยุค โลกข้อมูล-ข่าวสาร หรือ โลกโซเชียลมีเดีย ทั้งหลาย มาพูดจา ว่ากล่าว กันอย่างเป็นงาน-เป็นการ เนื่องในวัน อาสาฬหบูชา ปีพุทธศักราช 2568 ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อไม่กี่วันมานี่เอง!!!
ดังข้อความที่ได้ประทานให้เป็น พระคติธรรม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 ก.ค. เอาไว้ว่า…“ธัมมจักกัปปวัตนสูตรที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เป็นปฐมเทศนา คือวิถีทางดับทุกข์ด้วย
มรรคมีองค์ 8 หรือการลงมือปฏิบัติให้…พ้นทุกข์ แต่ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า ท่ามกลางสถานการณ์ทางเทคโนโลยีการสื่อสารอันรุดหน้าอย่างรวดเร็ว ความสงบสุขในโลกกลับถดถอย เสื่อมทราม ลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะทุกคนต้องจำทนอยู่ในวังวนแห่งความรู้สึกชิงชัง ก้าวร้าว และตึงเครียด โดยเหตุที่เสพคุ้นอยู่กับข้อมูลเท็จ การส่อเสียด คำหยาบคายและความเพ้อเจ้อ จนกระทบกระเทือนสุขภาพจิต”…
นี่…จริง-ไม่จริง ก็ลองหยิบไปคิดๆ เอาเองก็แล้วกัน แต่โดยแนวโน้ม…มันน่าจะเป็นไปในตามนั้น เพราะหลายต่อหลายเรื่อง หลายต่อหลายกรณี ที่พูดกันไป-พูดกันมา จิ้มกันไป-จิ้มกันมาภายใน โลกโซเชียลมีเดีย นั้น นอกเหนือไปจากความเท็จ-ไม่เท็จ จริง-ไม่จริงแล้ว ยังไงๆ ไม่น่าจะมีความจำเป็นใดๆ ถึงกับต้องไป ขึ้นกรู-ขึ้นมรึง ต้องคว้ากล้วย หรือคว้าอะไรต่อมิอะไรมาแจกให้กับสาธารณชนกันชนิดเป็นหวีๆ เครือๆ แค่พูดๆ กันแบบปกติธรรมดา โดยมีสติ มีความมีเหตุมีผล ติดปลายนวมไว้มั่ง ไม่ว่ามากหรือน้อย ก็น่าจะพอช่วยให้เกิดข้อยุติ เกิดการยินยอมพร้อมใจในการรับรู้ รับฟัง มากซะยิ่งกว่าการหันไปใช้ ความหยาบ-ความถ่อย เป็นเครื่องมือ ไปจนถึงการส่อเสียด เหยียดหยาม ใครต่อใคร ชนิดไม่ไล่-ไม่เลิก…
แต่จะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่…แทนที่จะใช้สิ่งที่ สมเด็จพระสังฆราช ท่านเรียกว่า สัมมาวาจา อันจะช่วยนำมาซึ่งความสุข ความสงบ ให้กับสังคมได้มั่ง แต่บรรดาพวก เกรียนคีย์บอร์ด ทั้งหลาย กลับมักพร้อมที่จะ พลั้งเผลอ หรือ สนุกคะนอง ไปกับสิ่งที่เรียกว่า มิจฉาวาจา ที่มีแต่จะนำมาซึ่งความรู้สึกชิงชัง ก้าวร้าว ความตึงเครียด ก่อให้เกิดความทุกข์ต่อผู้อื่น ต่อสังคม อย่างไม่คิดจะบันยะบันยังเอาเลยแม้แต่น้อย และนั่นเอง…ที่ทำให้ประมุขแห่งพระพุทธศาสนาบ้านเรา ท่านเลยอดไม่ได้ต้องทรงเตือน ทรงเน้น เอาไว้ให้เห็นแบบชัดถ้อย-ชัดคำว่า “ขอให้สำนึกเลยว่า เมื่อใดที่บุคคลใดพูด หรือเขียนเป็นคำเท็จ คำส่อเสียด คำหยาบคายและคำเพ้อเจ้อ ไม่ว่าในช่องทางใด หรือวาระโอกาสใด เมื่อนั้น…คือการอวดความทรุดโทรม ต่ำช้า ที่หยั่งรากอยู่ในความสืบเนื่องแห่งอุปนิสัยของบุคคลนั้นๆ อันนับว่าน่าอับอาย มากกว่าที่จะนำมาอวดแสดงกัน…”
นี่…ต้องเรียกว่า ฟังแล้ว…นรก!!! ขึ้นหัวเอาง่ายๆ แต่ก็นั่นแหละ…เผอิญว่า พระคติธรรม ข้อชี้แนะ ชี้นำ หรือคำเตือนขององค์ประมุขแห่งพระพุทธศาสนาคราวนี้ อาจเสียจังหวะ คร่อมจังหวะ หรือถูกขัดจังหวะอยู่มั่งเล็กๆ น้อยๆ ด้วยเหตุเพราะช่วงเวลาใกล้ๆ กัน บรรดา พระผู้ใหญ่ จำนวนมิใช่น้อย ท่านดันไปมุ่งมั่นขยันที่จะแสดง สัมมาวาจา เพื่อแสดงออกถึงความอ่อนหวาน ความรักและความปรารถนา ต่อ สีกากอล์ฟ อย่างเป็นระบบและกิจการ จนอาจก่อให้เกิดการเข้าทางเท้า-เข้าทางตีน ของบรรดาพวก มิจฉาวาจา ทั้งหลาย ที่สามารถหยิบไปใช้สร้างความชิงชัง รังเกียจ ต่อบรรดาพวก พระๆ ในแต่ละราย อันกลับก่อให้เกิดความทุกข์ ความไม่สงบ ขึ้นมาแทนที่เอาง่ายๆ…
ดังนั้น…คงต้องพยายามแยกให้ออกระหว่าง ศาสนา กับ ตัวบุคคล เพราะไม่ว่า พระ บางรายท่านเลือกที่จะมี สัมมาวาจา กับ สีกากอล์ฟ เป็นการเฉพาะ แต่ในแง่ แก่น และ สาระ ของสิ่งที่เรียกว่า พระศาสนา ที่ สมเด็จพระสังฆราช ท่านหยิบมาใช้เป็น พระคติธรรม ในช่วงวันอาสาฬหบูชาคราวนี้ ต้องเรียกว่า…ออกจะมีคุณค่า ราคา เอามากๆ โดยเฉพาะต่อความเป็นไปของโลกยุคใหม่ สังคมสมัยใหม่ ที่กำลังเกิดสภาวะทำนองนี้อย่างเห็นได้โดยชัดเจน เพราะอย่างที่ท่านได้ทรงสรุปเอาไว้นั่นแหละว่า… “หากท่านประสงค์ให้สังคมไทยร่มเย็น เป็นสุข จงหมั่นเพียรศึกษา อบรมและปฏิบัติธรรมะ มีน้ำใจกล้าหาญที่จะละทิ้งมิจฉาวาจา เพื่อให้ทุกครอบครัว ทุกชุมชน เป็นสถานที่ปลอดภัยจากการหลอกลวง การวิวาทบาดหมางและความตึงเครียด อันเป็นการเกื้อกูลตนเองและสรรพสัตว์ทั่วหน้า ให้สามารถพ้นอันตรายได้ตามความมุ่งมาดปรารถนา อย่างแท้จริง” ด้วยเหตุนี้…ถึงจะ เบื่อพระ หรือ ไม่ไหว…จะพระ เพียงใดก็ตามที แต่ยังไงๆ…คงมิอาจละทิ้ง ธรรมะ อันเป็น แก่น และ สาระ ของ พระศาสนา ลงไปได้เลยแม้แต่น้อย.