ถอดรหัส "การบังคับทางการทูต" ใช้เศรษฐกิจสร้างแรงกดดัน
141 ดูการใช้อิทธิพลทางเศรษฐกิจเพื่อกดดันให้ประเทศต่าง ๆ ปฏิบัติตามเงื่อนไขของสหรัฐฯ กลายเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญภายใต้นโยบายที่เรียกว่า"การบังคับทางการทูต" หรือ "การทูตข่มขู่" ซึ่งมีบทบาทชัดเจนในความสำเร็จด้านการต่างประเทศของสหรัฐฯ มายาวนานนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
การบังคับทางการทูต หรือ Coersive Diplomacy ถูกเสนอ ขึ้นครั้งแรก โดยนักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในปี ค.ศ. 1971 เพื่อใช้อธิบายนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ต่อประเทศ อย่าง สปป.ลาว, คิวบา และเวียดนาม
ในช่วงเวลานั้น หลักคิดสำคัญของนโยบายดังกล่าว คือ การใช้คำขู่หรือการใช้กำลัง อย่าง "จำกัด" เพื่อบีบบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามยุติ หรือเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง
ในทางปฏิบัติ แนวทางนี้อาจอยู่ในรูปแบบของมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ การปิดกั้นทางเทคนิค หรือการโดดเดี่ยวบนเวทีโลก ซึ่งสหรัฐฯ ได้ใช้กลยุทธ์เหล่านี้มาอย่างต่อเนื่อง
ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาเป็นภาพสะท้อนของการใช้นโยบายนี้ได้อย่างชัดเจน
สหรัฐฯ ใช้แรงกดดันทางเศรษฐกิจคู่ระงับการเจรจาด้านการค้ากับทั้ง 2 ประเทศ จนกว่าการสู้รบจะยุติลง แรงกดดันดังกล่าวส่งผลโดยตรงต่อเป้าหมายทางเศรษฐกิจของทั้ง 2 ชาติ หากต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าถึง 36%
ภายในเวลาเพียง 2 วัน ไทยและกัมพูชาเข้าสู่โต๊ะเจรจาหยุดยิงเปิดโอกาสให้ประธานาธิบดี "โดนัลด์ ทรัมป์" เปิดเผยความสำเร็จผ่าน Truth Social ว่า นี่คือหนึ่งในหลายสงครามที่เขาสามารถหยุดได้ พร้อมเรียกตัวเองว่า ประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ
เล่นอัตโนมัติ