พ่อ-ลูกชายมี "จุดแปลกบนผิวหนัง" นาน 3 ปี หมอตรวจให้ฟรีถึงรู้ เป็นโรคที่ยุคนี้ไม่ค่อยมีแล้ว!
พ่อ-ลูกชายมี "จุดแปลกบนผิวหนัง" นาน 3 ปี โดยไม่รู้ตัวโรคเรื้อน กระทั่งทีมแพทย์ลงพื้นที่ตรวจสุขภาพฟรีในชุมชน และพบว่าทั้งสองคนติดเชื้อพร้อมกัน
เหตุการณ์เกิดขึ้นที่เวียดนาม โดยชายหนุ่มวัย 21 ปีมีจุดสีผิวผิดปกติขนาดเล็กบริเวณเอวตั้งแต่ 3 ปีก่อน แต่เข้าใจผิดคิดว่าเป็นอาการผื่นผิวหนังธรรมดา จึงพยายามรักษาเองหลายครั้ง แต่ไม่หาย และจุดดังกล่าวเริ่มขยายใหญ่เท่าฝ่ามือ แม้ไม่รู้สึกคันหรือเจ็บ ในช่วงเวลาเดียวกัน พ่อของเขาก็เริ่มมีรอยผิวเปลี่ยนสีบริเวณข้อศอก ร่วมกับอาการชาที่ผิวหนัง จากนั้นรอยโรคเริ่มลุกลามอย่างรวดเร็ว มีจุดแดงขึ้นบริเวณแขน และรอยคล้ำบริเวณขา
จนเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งสองคนจึงตัดสินใจเข้ารับการตรวจสุขภาพจากทีมแพทย์โรงพยาบาลผิวหนังกลางที่มาให้บริการในพื้นที่ และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเรื้อนชนิดมัลติเบซิลลารี (Multibacillary) ซึ่งเป็นรูปแบบที่เชื้อลุกลามได้รวดเร็ว ต้องใช้ยาร่วมกันหลายชนิดในการรักษาอย่างต่อเนื่อง
โรคเรื้อนคืออะไร? อันตรายแค่ไหน?
โรคเรื้อน (Leprosy) เป็นโรคติดเชื้อเรื้อรังที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium leprae โรคนี้แพร่กระจายผ่านการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รับการรักษา โดยเชื้ออาจอยู่ในละอองน้ำลาย หรือน้ำมูกของผู้ป่วย โรคมีระยะฟักตัวนานมาก อาจยาวนานถึง 20 ปี ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าป่วย แม้ติดเชื้อมานานแล้ว อาการมักเริ่มจากผิวหนังเปลี่ยนสี, ชาบริเวณที่ติดเชื้อ, รู้สึกเจ็บหรือเย็นลดลง หากไม่ได้รับการรักษา อาจลุกลามจนกระทบระบบประสาท และนำไปสู่ความพิการถาวร
แพทย์หญิงเลถิไม หัวหน้าฝ่ายควบคุมโรคของโรงพยาบาลฯ เปิดเผยว่า คุณพ่อของชายหนุ่มเป็นผู้ป่วยเรื้อนในระยะลุกลาม ต้องรับการรักษาด้วยยา 3 ชนิดติดต่อกันอย่างน้อย 12 เดือน แม้จะเป็นโรคเรื้อรัง แต่หากตรวจพบเร็วและรับยาต่อเนื่อง โรคเรื้อนสามารถรักษาให้หายขาดได้ 100% และเมื่อเริ่มใช้ยา โอกาสในการแพร่เชื้อจะลดลงถึง 99% ภายในไม่กี่วัน
สำหรับสถานการณ์โรคเรื้อนในเวียดนามนั้น แต่ละปีมีผู้ป่วยรายใหม่ไม่ถึง 100 ราย ซึ่งลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับ 10 ปีก่อน อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่พบในปัจจุบันมักอยู่ในระยะลุกลาม และมีอาการไม่ชัดเจน ทำให้วินิจฉัยผิดเป็นโรคอื่น เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Lupus) ส่งผลให้เริ่มการรักษาล่าช้า และเสี่ยงพิการถาวร ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับโรคเรื้อน การป้องกันที่ดีที่สุดคือการสังเกตอาการผิดปกติของผิวหนัง หากพบว่ามีรอยเปลี่ยนสี ร่วมกับความรู้สึกชา หรือรู้สึกร้อน เย็น เจ็บลดลง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขเวียดนามยังเน้นย้ำว่าไม่ควรตีตราผู้ป่วยโรคเรื้อน เพราะโรคนี้ไม่ติดต่อในชีวิตประจำวันทั่วไป และสามารถรักษาให้หายได้หากเริ่มรักษาแต่เนิ่นๆ